xs
xsm
sm
md
lg

MCS มาร์จิ้น Q1 โตแม้กำไรลด ลุ้นดีล POSCO ในจีนฉลุย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


       “เอ็ม.ซี.เอส.สตีล” ชี้แจงไตรมาสแรกมาร์จิ้น 27.20% แม้เทียบ Q1/55 กำไรสุทธิน้อยกว่า  เพราะไม่มีบันทึกกำไรพิเศษเงินชดเชยน้ำท่วม กำไรอัตราแลกเปลี่ยน บล.เอเซีย พลัส ประเมินยอดส่งสินค้าไปญี่ปุ่นทะลักดันผลดำเนินงานเติบโต รอลุ้นผลเจรจากับ POSCO เปิดโรงงานผลิตโครงสร้างเหล็กที่จีนช่วยเพิ่มตลาด ล่าสุด วิ่งสวนตลาดรอบเช้าเพิ่มขึ้น 1.24%

    นายไพรัตน์ วิวัฒน์บวรวงษ์ รองกรรมการผู้อำนวยการวุโส บริษัท เอ็ม.ซี.เอส.สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MCS กล่าวถึงผลการดำเนินงานไตรมาส1/56 ว่า บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรลดลงเหลือ 136.08 ล้านบาท ลดลงจากปีที่แล้ว 31.62 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาส 1 ปี 2555 บริษัทฯ ได้รับเงินชดเชยจากเหตุการณ์น้ำท่วม จำนวน 75.74 ส่งผลให้รายได้อื่นๆ สูงกว่าไตรมาส 1 ปี 2556 จำนวน 63.9 ล้านบาท และในไตรมาส 1 ปี 2555 บริษัทยังมีกำไรขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสูงกว่า 81.03 ล้านบาท

    ทั้งนี้ โดยรวมกำไรในไตรมาส 1 ปี 2555 มีกำไรสูงกว่าไตรมาส 1 ปี 2556 กว่า 144.93 ล้านบาท  อย่างไรก็ตาม พบว่าอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 1 ปีนี้ อยู่ที่ 27.20% สูงกว่าในไตรมาส 1 ปี 2555 ที่อยู่ในระดับ 10.57% จึงเป็นผลให้กำไรของไตรมาส 1 ปี 2556 ลดลงเพียง 31.62 ล้านบาท

    นอกจากนี้ ในไตรมาส 1 ปี 2555 บริษัทมีการเปลี่ยนแปลงการจัดงบการเงินตามมาตรฐานบัญชีฉบับใหม่ ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไร 167.696 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 97.4 ล้านบาท จากงบการเงินรูปแบบเดิมของบัญชีรอบเดียวกัน เนื่องจากผลต่างของการแปลงค่างบการเงิน
    
    สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/56 บริษัทฯ มีรายได้ 895.69 ล้านบาท กำไรสุทธิ136.08 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.27 บาท/ต่อหุ้น ส่วนอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่ที่ 9.98% ขณะที่ปี 2555 บริษัทมีรายได้ 2,607.26 ล้านบาท กำไรสุทธิ 164.95 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.33บาท/หุ้น และROE 6.99%
    
    บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า บมจ.เอ็ม.ซี.เอส.สตีล (MCS)  รายงานผลประกอบการงวด 1Q56 มีกำไรสุทธิ 136 ล้านบาท ลดลง 18.9% YoY ซึ่งถ้าหักกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 30 ล้านบาท จะแสดงผลกำไรจากการดำเนินงาน 106 ล้านบาท ทั้งนี้ ตัวเลขผลการดำเนินงานที่แสดงในงบการเงินของ MCS ดีกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้เป็นอย่างมาก เนื่องจากได้มีการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานบัญชี โดยนับจากนี้ MCS จะบันทึกบัญชีโดยใช้เงินสกุลเยนเป็นสกุลหลัก (Functional Currency) และแปลงเป็นค่าเงินบาท ณ สิ้นงวด ทำให้ผลกระทบในเชิงลบจากการอ่อนค่าของเงินเยน สะท้อนเข้าไปในงบกำไรขาดทุนของ MCS ในงวด 1Q56 น้อยกว่าคาดมาก

    อย่างไรก็ตาม ผลกระทบเชิงลบนี้ได้สะท้อนไปยังรายการผลต่างของอัตราแลกเปลี่ยนจากการแปลงค่างบการเงิน ซึ่งจะไปลดส่วนของผู้ถือหุ้นลง จะเห็นได้ว่าส่วนของผู้ถือหุ้นในงวด 1Q56 ของ MCS ได้ปรับตัวลดลงเทียบกับ 4Q55 ถึงแม้ว่า MCS จะมีกำไรทางบัญชีก็ตาม ส่วนในแง่ของผลการดำเนินงานในงวด 1Q56 MCS มีปริมาณขายอยู่ที่ 14,000 ตัน เพิ่มขึ้น 69% QoQ โดยเป็นการส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่นทั้งหมด เนื่องจากงานในประเทศได้ส่งมอบไปหมดแล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายเพิ่มขึ้นมากสู่ระดับ 109 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 3.3 เท่า YoY เนื่องจากปริมาณขนส่งเหล็กทางเรือในแต่ละเที่ยวลดลงอย่างมาก ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

    ขณะเดียวกัน คาดว่า MCS จะทราบความคืบหน้าการเจรจากับ POSCO เรื่องการเปิดโรงงานผลิตโครงสร้างเหล็กที่เมือง Dalian ประเทศจีน ภายในเดือน มิ.ย.56 นี้ ซึ่งถ้าหากมีการตกลงร่วมทุนกัน ก็จะเปิดโอกาสให้ MCS สามารถเพิ่มช่องทางรายได้ด้วยการทำงานประเภท Module ได้ เนื่องจากทำเลที่ตั้งที่ติดกับท่าน้ำลึก ส่วนการขยายฐานลูกค้าไปยังประเทศอื่นๆ ที่ไม่ใช่ญี่ปุ่น ยังเป็นประเด็นสำคัญที่จะกำหนดทิศทางบริษัทในอนาคต เนื่องจากปัจจุบัน MCS มีฐานลูกค้าเป็นผู้รับเหมาในประเทศญี่ปุ่นทั้งหมด ทำให้เกิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ขึ้นอยู่กับค่าเงินเยนมากเกินไป

    ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยยังคงประเมินปริมาณขายปี 2556 ไว้เท่าเดิมที่ระดับ 48,000 ตัน แต่ผลกระทบจากการเปลี่ยนมาตรฐานบัญชี ทำให้ฝ่ายวิจัยต้องปรับ Gross Margin ของ MCS สำหรับงวด 2556 เพิ่มขึ้นจาก 17% เป็น 25% ส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 2556 เพิ่มขึ้นจาก 124 ล้านบาท เป็น 295 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม การอ่อนค่าของเงินเยนจะส่งผลให้มูลค่าของสินทรัพย์สุทธิที่อยู่ในรูปสกุลเงินเยนมีมูลค่าลดลงเมื่อแปลงค่ากลับมาเป็นเงินบาทตามมาตรฐานบัญชีใหม่ โดยส่วนลดดังกล่าวจะถูกบันทึกเข้าไปในส่วนของผู้ถือหุ้นโดยตรง โดยรวมแล้วคาดว่าจะส่งผลให้Book Value/Share ของ MCS เพิ่มขึ้นไม่มากนัก ฝ่ายวิจัยประเมิน Fair Value ที่ 5.03 บาท โดยอิง PBV 1 เท่า มี Upside 4% ยังคงแนะนำ ถือ เพื่อรอการฟื้นตัวของบริษัท

    ณ เวลาปิดตลาดภาคเช้า 12.30 น.  ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 4.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.06บาท หรือ 1.24% มูลค่าซื้อขาย 2.83 ล้านบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น