xs
xsm
sm
md
lg

BEAUTY รุกตลาด AEC เตรียมผุดร้านใหม่ 7 แห่ง ใน 3 ประเทศ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ เตรียมขยายสาขาร้าน BEAUTY BUFFET และร้าน BEAUTY COTTAGE เพิ่มอีก 7 แห่ง ใน 3 ประเทศ คือ ลาว เวียดนาม และกัมพูชา และขยายสาขา BEAUTY BUFFET ในประเทศเพิ่มเป็น 180 สาขา คาดทั้งปีจะดันกำไรขั้นต้น (GROSS PROFIT MARGIN) เติบโตที่ 70% และกำไรสุทธิ (NET PROFIT MARGIN) เติบโตที่ 20%

นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ หรือ BEAUTY กล่าวว่า ภายในปีนี้บริษัทฯ มีแผนจะมีการขยายสาขาร้าน BEAUTY BUFFET และร้าน BEAUTY COTTAGE ในประเทศเพื่อนบ้านกลุ่ม AEC ได้แก่ ประเทศเวียดนาม ลาว และกัมพูชา เพิ่มเติมรวมทั้งสิ้น 7 แห่ง ให้ได้ภายในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ โดยจะเริ่มเปิดสาขาของทั้ง 2 แบรนด์ได้ในประเทศเวียดนาม และประเทศลาวก่อน เป็น 2 ประเทศแรก ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างก่อสร้าง ขณะที่ร้าน BEAUTY BUFFET ในกัมพูชา จะมีการเพิ่มสาขาอีกจำนวน 2 สาขา จากเดิมที่มีอยู่แล้ว 1 สาขา และเปิดร้าน BEAUTY COTTAGE  อีก1 สาขา

ส่วนตลาดภายในประเทศนั้นจะมีการขยายสาขาของทั้ง 2 แบรนด์ออกไปอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยตั้งเป้าปีนี้ BEAUTY BUFFET จะขยายสาขารวมทั้งสิ้น 180 สาขา จากปัจจุบันที่มีอยู่ 159 สาขา และ BEAUTY COTTAGE จะขยายสาขาเพิ่มเป็น 50 สาขา จากปัจจุบันที่มีอยู่ 42 สาขา ทั้งนี้ จะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้สอดรับกับความต้องการใช้งาน และไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
 

อย่างไรก็ดี ผลิตภัณฑ์กลุ่ม MADE IN NATURE ที่จะมีการขยายช่องทางจำหน่ายเพิ่มเติม คาดว่าภายในต้นได้ในไตรมาสที่ 3 นี้โดยจะเริ่มวางจำหน่ายในห้างคอนวีเนียนสโตร์ ได้แก่ เทสโก้ โลตัส  และท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เกต จากเดิมที่มีวางจำหน่ายอยู่แล้วในห้างโมเดิร์นเทรด และซูเปอร์มาร์เกตชั้นนำต่างๆ รวมกว่า 10 แห่ง นอกจากนั้น จะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่อีก 4 ชนิด โดยเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับบำรุง และดูแลรักษาผิวพรรณ และผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชาย และการเพิ่มในส่วนของการเปิดสถานบริการความงามเข้ามาอีกด้วย
 
ทั้งนี้ ในไตรมาส 3 บริษัทมีแผนจะเปิดชอปแบรนด์ใหม่ BEAUTY MARKET ซึ่งจะมีขนาดร้านใหญ่กว่า BEAUTY BUFFET และเป็นร้านพรีเมียมแบรนด์ โดยจำหน่ายสินค้าประเภทเครื่องสำอางประมาณ 300 แบรนด์ ตั้งแต่ 5,000-9,000 SKU เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์มากขึ้น แต่มีความแตกต่างกันในการใช้งาน โดยคอนเซ็ปต์ร้านจะเป็นรูปแบบผสมผสานระหว่างร้าน Beauty Convenience Store และ Supermarket เข้าด้วยกัน เพื่อเจาะกลุ่มฐานลูกค้าที่กว้าง และหลากหลายขึ้น ส่วน Fighting Brand ที่จะวางจำหน่ายผ่านคอนวีเนียนสโตร์ ขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยคาดว่าจะจำหน่ายในต้นไตรมาส 4/56
 
นอกจากนี้ บริษัทได้มีการเซ็นสัญญาความร่วมมือกับพันธมิตร DEES SUPREME CO., LTD ในการเป็นตัวแทนจำหน่ายน้ำหอม GIRL DE PROVENCE แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย สำหรับการจำหน่ายผ่านช่องทางร้านค้าปลีก ซึ่งมี presenter เป็นศิลปินชื่อดัง สุดยอดวงเกิร์ลกรุ๊ป Girls’ Generation โดยคาดว่าจะวางจำหน่ายในร้าน BEAUTY BUFFET ได้ในเดือน ก.ค.56
 
ในส่วนของกำไรขั้นต้น (GROSS PROFIT MARGIN) นั้น คาดว่าทั้งปีจะอยู่ที่ประมาณ 70% ส่วนกำไรสุทธิ (NET PROFIT MARGIN) นั้น คาดว่าจะเติบโตที่ประมาณ 20% ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่สูงมากพอสมควรแล้วสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ซึ่งถ้าจะให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมากกว่านี้นั้น บริษัทฯ จะต้องปรับเพิ่มจำนวนสาขาเพิ่มมากขึ้น และการลดค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าเช่า หรืออัตราต่อรองประเภทต่างๆ ลง ซึ่งหากเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายต่อหัวของคนไทยที่ซื้อใช้เครื่องสำอางต่อปีเทียบกับคนเก่าหลีแล้วยังน้อยอยู่มาก
กำลังโหลดความคิดเห็น