xs
xsm
sm
md
lg

งานลด-เงินหด เหล่าดาราผู้เสียสละ เพื่อชาติ เพื่ออุดมการณ์!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“คนเสื้อแดงควรหายไปจากประเทศไทย!” คือประโยคเด็ดในโพสต์ล่าสุดของ ตั๊ก-บงกช ซึ่งประกาศจุดยืนเอาไว้ได้อย่างกล้าหาญและชัดเจนมาก จนไม่น่าเชื่อว่าถ้อยคำเหล่านี้จะออกมาจากคนที่ถูกเรียกว่า “ดารา” รวมถึงเพื่อนร่วมวงการ-ร่วมอุดมการณ์อีกหลายคนที่ยังคงร่วมชุมนุมและโพสต์แสดงความคิดเห็นทางการเมือง จนส่งให้อาชีพของตนเองสั่นคลอน งานลด-เงินหดไปหลายราย แต่พวกเขาก็ยังคงลุกขึ้นสู้ต่อไป เพื่ออนาคตของประเทศไทย เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง!




ตั๊ก-บงกช แรงอย่างมีเบื้องหลัง!
"มีรัฐบาลไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะรัฐบาลที่มีอยู่ไม่ทำให้ประเทศดีขึ้น ทำไมคนไทยไม่อยากเลือกตั้ง สำหรับฉัน ฉันว่ามันก็ได้แต่พวกแย่ๆ เหมือนเดิม เราไม่อยากได้รัฐบาลเดิม เราอยากได้คนที่คนส่วนมากต้องการ และเบื่อคำว่าเสื้อแดงเต็มทน ในเมื่อคนที่ไม่ใช่เสื้อแดงมากกว่า คนที่เป็นเสื้อแดงก็ควรที่จะหายไปจากประเทศไทย เพราะต้องหัดยอมรับบ้างว่า เราไม่ต้องการพวกที่ไม่รักในหลวง และอย่าตอแหลว่ารัก เพราะการกระทำมันไม่ใช่ ไม่เคยมีคนไทยออกมาเยอะขนาดนี้ ในเมื่อมีแล้ว หัดยอมรับในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงบ้าง เลิกพูดให้เรายอมซะที เพราะพวกกูยอมมาตลอด และไม่ใช่แค่เรื่องว่าในหลวง เรื่องกู้เงินอีก..."

นี่คือโพสต์ล่าสุดของ “ตั๊ก-บงกช เบญจรงคกุล” บนอินสตาแกรมที่แสดงจุดยืนทางการเมืองเอาไว้อย่างจัดจ้านและชัดเจนเช่นทุกครั้งที่เคยเป็นมา พูดได้เลยว่ามีคนที่ถูกเรียกว่า “ดารา” อยู่แค่ไม่กี่คนที่จะกล้าออกมาพูดแบบนี้ ด้วยเกรงกลัวผลลบที่จะกระทบต่ออาชีพในวงการบันเทิงอีกนานัปการ แต่สำหรับตั๊กแล้ว ดูเหมือนเธอจะไม่ยี่หระต่อผลสะท้อนใดๆ ส่วนหนึ่งอาจมองได้ว่า เป็นเพราะมีฐานการเงินที่มั่นคงแล้ว เนื่องจากลงหลักปักฐานและมีเจ้าตัวน้อยร่วมกับ “เจ้าสัวบุญชัย” ไปเรียบร้อย แต่หากลองมองย้อนกลับไปในยุคนี้เธอยังไม่ได้รับน้ำสังข์ ตั้งแต่สมัยยังยึดอาชีพนักแสดงเป็นเครื่องมือทำมาหากิน เธอก็กล้าแสดงออกทางการเมืองแรงๆ แบบเดียวกันนี้มาหลายต่อหลายครั้ง จนครั้งหนึ่งเคยถูกกลุ่ม “แดงพัทยา” ขับรถโห่ไล่เธอและคนในกองภาพยนตร์มาแล้ว

"ตั๊กเป็นคนที่รักพระองค์ท่านมาก หากใครจะพูดพาดพิงหรือก้าวก่ายนี่ไม่ได้เลย ตอนตั๊กอายุ 6-7 ขวบ แม่เคยพาไปเข้าเฝ้าฯ ที่วัดพระแก้ว ครั้งนั้นทรงแย้มพระสรวล ทรงยื่นพระหัตถ์ลูบที่หัวของตั๊กอย่างเอ็นดูด้วยความเป็นเด็ก ตั๊กก้มกราบพร้อมลูบพระบาทด้วยความปลื้มปีติ จากนั้นเวลาเห็นภาพพระองค์เสด็จฯ ไปยังที่แห่งไหน และมีการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ ตั๊กจะหลั่งน้ำตาด้วยความปลาบปลื้มที่ทรงเหน็ดเหนื่อยพระวรกายทำเพื่อราษฎรตลอดมิได้หยุด

ทุกๆ คำสอนทุกๆ แนวทางของพระองค์ท่าน ตั๊กก็จะเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทเสมอมา และเมื่อเห็นใครต่อว่าพระองค์ท่านหรือมีใครมาพูดให้ฟังว่ามีการพาดพิงพระองค์อย่างไร ตั๊กจะไม่ยอมไม่อยากฟัง บอกว่าคนไม่รักพ่อมีเท่าไม้ซีก แต่คนรักมากมายมีไม้ซุง ไม้ซีกจะมางัดไม้ซุงได้อย่างไร

คนที่ต่อว่าพระองค์ท่านไม่เคยทำประโยชน์อะไรให้กับชาติบ้านเมือง ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาต่อว่าบุคคลที่คนทั้งชาติรักและเคารพเช่นกัน ซึ่งตัวแม่เองก็มองว่า หากเรื่องนี้ ใครจะมาเอาเรื่องตั๊ก ทำให้ลูกของแม่ต้องตาย แม่ก็จะไม่ว่าอะไรเพราะเราถือว่าทำหน้าที่ปกป้องพระองค์ท่านได้ดีที่สุด" ธนาภา คงมาลัย แม่ของตั๊ก เคยเผยเบื้องหลังการแสดงจุดยืนทางการเมืองของลูกเอาไว้ในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง




งานหด-เงินหาย เพื่อชาติ!
“หยอง ลูกหยี” (จงรวย สมจิตนา) ศิลปินตลกที่หลายคนคุ้นหน้า คืออีกหนึ่งคนที่ยินดียืดอกรับผลกระทบเต็มๆ จากการแสดงจุดยืนทางการเมืองของตัวเองในครั้งนี้ เขาเปิดใจเผยความจริงว่าการขึ้นไปปราศรัยบนเวทีต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ทำให้รายได้ที่เคยมีหายไปเกือบหมด

“หลังจากที่ลงจากเวทีสามเสนมาก็มีผลกระทบอยู่ มีรายการที่จองคิวไว้ก่อนหน้านี้ เขาก็มาขอดร็อปไว้ก่อน มีละคร 2 เรื่องโทร.มาเตือนให้หยุด อย่าไปยุ่งเลย ผมก็บอกว่าในเมื่อผมออกมาครั้งนี้ผมมาแสดงจุดยืน ผมมาแสดงความจงรักภักดีกับประเทศชาติ พระมหากษัตริย์ แล้วแนวคิดนี้ผมคิดเหมือนประชาชนอีกหลายล้านคน ถ้าคิดว่าไม่ถูกต้อง เป็นความชั่ว ความเลวของผมก็เชิญตัดผม เชิญเลย
ผมไม่สนผลกระทบอะไรกับชีวิตผมอยู่แล้ว

แต่ถ้าเกิดกับประเทศชาติ กับในหลวงของผม ผมไม่ยอม เราเป็นคนไทยครับ ผืนแผ่นดินนี้ทุกตารางนิ้วพระองค์ท่านทรงเดินชนปัญหากับพสกนิกรชาวไทย พวกคุณเป็นใครถึงมาจาบจ้วงดูหมิ่นดูแคลนสถาบัน คุณทำกันเป็นกระบวนการ คุณทำให้สถาบันเสื่อม คุณอุปโลกน์เรื่องอะไรกันมาก็ได้เหรอ พวกคุณใช้เงินจ้างคน แต่วันนี้คุณเห็นแล้วนะ มวลอภิมหาประชาชนในวันนี้เขาออกมาเป็นพลังบริสุทธิ์ คนทุกชนชั้นเขาออกมา เขาออกมาทำไมกันครับ เขาออกมาเพื่อประเทศชาติ ถ้ายังปล่อยเขาเอาไว้แบบนี้เขาก็จะยิ่งเหิมเกริม ก็เอาเถอะ จะขนใครมาก็ช่าง

ผมไม่ได้มาเชียร์ประชาธิปัตย์ ผมไม่ได้มาไล่รัฐบาล แต่ผมมาแสดงจุดยืน แล้วบอกเลยว่าผมไม่ได้รับสคริปต์จากใครทั้งนั้น ผมออกมาด้วยตัวเอง ออกมาด้วยจิตใต้สำนึกของผมเอง ใครจะว่ายังไงผมไม่สนใจ ไปไหนก็ไปคนเดียวเหมือนเดิม ผมไม่ได้มาแค่เวทีนี้เวทีเดียว ผมไปทุกเวทีที่มีการต่อต้าน วันก่อนผมไปพิจิตร สุราษฎร์ธานี โคราช มีอีกหลายจังหวัดครับที่เขาเชิญผมไป แล้วผมก็จะไป ผมไม่กลัวครับ

อีกหนึ่งคนที่หลายคนเป็นห่วงว่าน่าจะได้รับผลกระทบจากการประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนผ่านโซเชียลมีเดียคือ “หมอก้อง-สรวิชญ์ สุบุญ” ถึงแม้จะไม่ได้ขึ้นเวทีปราศรัย แต่การโพสต์คัดค้านของเขาก็ส่งสารไปสู่ใครคนที่ชื่นชอบในผลงานได้อีกมากมาย ด้วยการเป็นนักแสดงมีสังกัดช่อง บวกกับตำแหน่งพระเอกที่หลายคนจับตา จึงถูกมองว่าผลกระทบด้านการเมืองอาจมีส่วนที่ทำให้ไม่ได้บทเด่นๆ เสียที แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ปริปากบ่นอะไร มองว่าคือเรื่องธรรมดาที่เข้าใจได้ ส่วนเรื่องการแสดงออกทางการเมืองเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนอยู่แล้ว

“เรื่องการเมือง ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เพราะถ้าทุกคนนิ่งเฉยไม่ออกมาเรียกร้องสิทธิของตัวเอง วันหนึ่งเมื่อประเทศชาติมีปัญหา แล้วถามว่าจะไปฟ้องร้องที่ไหนได้ล่ะครับ ถ้าไม่ลุกขึ้นมาทำหน้าที่ของตัวเอง ทดแทนแผ่นดินเกิด ส่วนเรื่องงานละคร น่าจะเป็นเพราะเรื่องจังหวะมากกว่าครับ คือผมสังกัดช่อง 3 เขาจะสอนตั้งแต่ออกไข่เลยว่าอยากให้เป็นนักแสดง เล่นละครหลายๆ เรื่อง เราก็เข้าใจว่า ผลตอบรับจากคนดูจะชี้วัดเองว่าเราเป็นนักแสดงที่ดีหรือเปล่า แล้วละครเรื่องหนึ่งมันหลายบท มันจะมีแค่พระ-นาง ไม่ได้ ประกอบกับพอเราอายุมากขึ้น ก็ต้องขยับตำแหน่งที่เหมาะสม แล้วผมมาจากนักแสดงตัว 2-3 อยู่แล้ว เราไม่ได้มาเป็นตัวหนึ่งเลยครับ”




เมื่อจุดยืนทำลายการงาน
นก-สินจัย, ฉัตรชัย เปล่งพานิช คืออีกครอบครัวหนึ่งที่แสดงจุดยืนเป็นแนวร่วมผู้ชุมนุมอย่างชัดเจนมาโดยตลอด เช่นเดียวกับ อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์ วชิระบรรจง ที่แสดงออกทางการเมืองอย่างไม่มีคลุมเครือเรื่อยมา หากลองวิเคราะห์ดูแล้ว จะเห็นว่าจุดที่พวกเขายืนอยู่ถือว่าเสี่ยงอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เพราะในฐานะผู้จัดละคร ซึ่งถือเป็นเจ้าของธุรกิจรายหนึ่งแล้ว ถ้าอยากให้ผลประกอบการออกมาดี ควรปกปิดแนวคิดทางการเมืองให้มิด แต่พวกเขากลับทำตรงกันข้าม เผยอย่างหมดเปลือกว่าจงรักภักดีต่อแผ่นดิน

ชวนให้นึกถึงรุ่นเก๋าในวงการอีกคนที่ยอมแบไต๋สู้อุดมการณ์แบบไม่เม้ม จนส่งให้อาชีพที่รักในวงการต้องสั่นคลอนจนถึงทุกวันนี้ จากดาวค้างฟ้ากลับต้องมาเผชิญชะตากรรมถูกปฏิเสธการว่าจ้างเพียงเพราะเรื่องสีเสื้อ เขาคนนั้นคือ ศรัณยู วงษ์กระจ่าง อีกหนึ่งคนคุณภาพแห่งวงการบันเทิง

“ตั้งแต่สังคมออกมาตื่นตัวเรื่องการเมือง ผมออกมาแสดงตัวว่าเป็นคนที่สนับสนุนการชุมนุมของคนกลุ่มหนึ่ง แค่ทำหน้าที่ตามความรู้สึกในฐานะประชาชนที่รู้สึกต่อแผ่นดิน ต่อบ้านเมือง แค่นี้สังคมก็ผลักเราไปไว้อีกมุมหนึ่งเลย ตราหน้าว่าเราคือตัวปัญหา โดยไม่สนว่าสิ่งที่เราทำอยู่มันคืออะไร กลายเป็นว่าคนที่ดูดีและไม่มีปัญหา คือคนที่อยู่เงียบๆ โดยไม่บอกว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ มีแนวคิดทางการเมืองยังไง ผมแอบตั้งคำถามอยู่ในใจเหมือนกันว่าทำไมสังคมเราถึงได้เป็นแบบนี้

กลายเป็นว่าตอนนี้มีแต่คนตรงกลางเท่านั้นที่สามารถทำงานร่วมกับใครก็ได้ คนที่ไม่บอกว่าฉันเป็นใคร แค่เลือกว่าวันนี้ฉันพูดอย่างนี้แล้วดูดี ฉันจะทำอย่างนี้ โดยที่ไม่บอกว่าใจจริงเป็นยังไง ต้องปิดฉากหน้าของตัวเองทั้งหมดเพื่อให้อยู่กับใครก็ได้ ถามว่าทำแบบนี้ควรมั้ย อันนี้สังคมต้องเป็นคนบอก ถ้าสังคมจะเอาแบบนี้ แต่ผมไม่เอาไง (ส่ายหน้า) ผมรับไม่ได้ แล้วพอผมไม่ปกปิดตัวตน ผมก็ต้องยอมรับสภาพ ซึ่งบางทีผมก็จะรู้สึกน้อยใจกับสังคมรวมๆ เหมือนกันว่าทำไมเราถึงเลือกวิธีนี้ แต่ก็พยายามทำความเข้าใจ และผมก็ต้องยอมรับทุกอย่างที่เกิด

ทุกวันนี้มันกลายเป็นว่าจะเลือกช่างสองคนที่ฝีมือดีที่สุดมาทำเฟอร์นิเจอร์ ต้องให้มามองหน้ากันก่อน มึงอยู่ข้างไหน ถ้าความคิดการเมืองต่างกัน กูไม่ทำกับมึง แล้วอย่างนี้จะทำงานร่วมกันได้ยังไง มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกี่ยวกันก็เอามาเกี่ยว สังคมเรายังแยกแยะตรงนี้ไม่ได้ เคยคิดไว้เหมือนกันครับว่าการออกมาประกาศจุดยืนจะมีผลต่องานของเรา แต่พูดตรงๆ ไม่คิดว่ามันจะมากขนาดนี้ ไม่คิดว่าวันหนึ่งทำหนังออกมาเรื่องหนึ่งแล้วจะต้องไปมีผลเกี่ยวกับเรื่องการเมืองอย่างนี้ แต่ถึงแม้ว่า ณ วันนั้นจะรู้ว่าผลกระทบจะเยอะขนาดนี้ ผมก็ไม่เปลี่ยนความคิดอยู่ดี เพราะเราชัดเจนในสิ่งที่ตัดสินใจอยู่แล้ว มันแข็งแรงพอที่ผมจะยืดอกยอมรับกับสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น” ตั้ว-ศรัณยู เคยเปิดใจให้สัมภาษณ์เอาไว้เมื่อครั้งทำภาพยนตร์เรื่อง “คนโขน”




พวกเขาคือ “ผู้เสียสละ”
“เขาเลือกที่จะเห็นว่าอุดมการณ์ทางการเมืองหรือความเชื่อทางการเมืองของเขา สำคัญมากกว่าความสำเร็จหรือความล้มเหลวทางวิชาชีพ ก็ต้องถือว่าเขาเสียสละ” ธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย นักการตลาดชื่อดัง หนึ่งในกรรมการตัดสินในรายการ “SME ตีแตก” กล่าวถึงบรรดาคนหน้ากล้องที่ออกมาแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนร่วมการชุมนุมในครั้งนี้เอาไว้อย่างชื่นชม ซึ่งไม่ได้เกิดจากอารมณ์เสน่หาหรือเลือกข้างเป็นส่วนตัวแต่อย่างใด แต่พิจารณาจากทฤษฎีการสร้างแบรนด์และการตลาดล้วนๆ เพราะถ้าเขาเป็นผู้จัดการส่วนตัว เป็นคนรักษาภาพลักษณ์ให้ดาราคนนั้นๆ เขาจะแนะนำให้อยู่เงียบๆ จะเสี่ยงน้อยที่สุด

จริงๆ แล้ว การเป็นดารา เป็นคนของสาธารณชน ถ้าเปรียบเป็นแบรนด์ๆ หนึ่ง เขามีหน้าที่ทำให้คนรักคนชอบมากที่สุด เพราะขอบเขตของเขาคือคนทั้งประเทศ ไม่ใช่ว่าพอเปิดทีวีมาเจอดาราคนนี้เป็น presenter คนปิดหนี ก็เท่ากับแบรนด์ไม่ดีละ เป็นดาราก็น่าจะทำให้คนรักเรามากที่สุด เกลียดเราน้อยที่สุด แต่ในสภาวะที่ประเทศแตกแยกทางความคิดด้านการเมืองทุกฝ่าย ทางที่ดีที่สุด คุณควรวางตัวเป็นกลาง

แต่ถ้าดาราที่ผมดูแลอยู่ ยืนกรานที่จะขึ้นกรานที่จะประกาศตัว ฉันทนไม่ไหวแล้ว ก็แล้วแต่ดาราเลยครับ ถ้าคุณเชื่อในอุดมการณ์ทางการเมืองของตัวเอง รู้สึกว่าต้องแสดงออกไม่อย่างนั้นอกแตกตาย คุณก็แสดงออกไปเลย แต่ต้องยอมรับว่างานคุณอาจจะมีตกบ้าง นั่นแปลว่า 1.ถ้าเลือกจะเปิดเผย คุณต้องมั่นใจว่าฐานแฟนคุณแน่นพอ ถ้าขึ้นไปปราศรัยแล้วทางช่องหรือนายทุนตัดคุณออก คุณอยู่ได้มั้ย 2.ทำยังไงให้ขึ้นไปแล้วเขาไม่ตัดคุณทิ้ง

เพราะฉะนั้น ต้องระวังคำพูดของตัวเองให้ดีๆ อย่าแรงจนยิ่งกว่าแกนนำ บางทีคุณพูดแรงยิ่งกว่าคนที่เขาพูดทุกวัน แรงยิ่งกว่าแกนนำอีกนะ ซึ่งมันไม่ต้องแรงขนาดนั้นก็ได้ ถ้าคุณจะประกาศเจตนารมณ์เรื่องต้านคอร์รัปชัน สีไหนก็เห็นด้วยนะเรื่องนี้ แต่อย่าไปพูดหยาบคาย ระคายหู หรือฟังแล้วไม่มีเหตุผล ย้ำอีกครั้ง การประกาศอุดมการณ์ทางการเมืองของดาราไม่ใช่เรื่องแปลก ต่างประเทศเขาก็ทำกัน มันขึ้นอยู่กับวิธีการประกาศมากกว่า และก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่สถานะไหน ดาวรุ่ง, ดาวค้างฟ้า, ซูเปอร์สตาร์ หรือดาวร่วง

ถ้าเป็นระดับ “ซูเปอร์สตาร์” ก็มีหน้าที่ต้องทำให้คนรักทั้งประเทศ เพราะตำแหน่งนี้แสดงว่าคุณเป็นที่นิยมมาก แฟนคลับของพวกเขาฐานใหญ่มาก เพราะฉะนั้น ถ้าคุณแสดงออกทางการเมืองในเวลาที่บ้านเมืองกำลังแตกแยก คุณอาจจะทำให้คนลดความรักความชอบในตัวคุณ หรืองานอีเวนต์ก็ลดน้อยลงเพราะผู้จ้างเขาก็ไม่กล้าจ้าง เพราะฉะนั้น สำหรับซูเปอร์สตาร์ถ้าไม่อยากเสี่ยง ก็ play safe อย่าขึ้นเวทีดีกว่า

ถ้าเป็น “ดาวรุ่ง” กำลังจะดัง ถ้าไปประกาศตัวชัดโดยที่ยังไม่รู้ว่าแต่ละคนสีอะไร เจ้าของธุรกิจต่างๆ อาจจะไม่สนับสนุน เสี่ยงมาก เพราะฉะนั้น อาจต้องวางตัวเป็นกลางเสียก่อน

ยกเว้นแต่ว่าคุณจะเป็น “ดาวค้างฟ้า” ถ้ามีคนชื่นชอบคุณเยอะ ฐานแฟนแข็งแรงพอ ก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว ถือว่าอยู่ในวงการมานาน มี connection มากแล้ว เงินทุนมีเหลือเฟือ แบรนด์แข็งแรงมาตลอด 30-40 ปี จะถือว่ากลุ่มนี้เสี่ยงน้อยที่สุด

ส่วนคนที่คิดว่ามี “ดาวร่วง” หลายคนใช้เวทีม็อบดึงเรตติ้งของตัวเองให้สูงขึ้นนั้น อาจารย์ไม่เห็นด้วย เพราะมองว่ามีแต่จะเสียมากกว่าดี

“ถ้าจะมองว่าดาราคนหนึ่งกราฟตกแล้วต้องการอาศัยม็อบมาดึงขึ้น เพื่อให้ภาพตัวเองขึ้นมาใหม่ มันคงไม่ใช่ เพราะว่าสินค้าหรือผู้จัดละครคงไม่ใช้วิธีนี้เพื่อดึงเขาขึ้นมา การขึ้นเวทีมาปราศรัยหรือแสดงจุดยืนอะไรออกมามันเป็นความเสี่ยงมากกว่าจะได้นะ เพราะก่อนคุณจะขึ้นไป คนที่เขาชอบคุณ เขาก็ชอบคุณอยู่แล้ว แต่คนที่เขาอาจจะไม่ได้เกลียดคุณ เพราะไม่เคยรู้ว่าคุณเลือกสีไหนมาก่อน พอมารู้และเขาอยู่อีกสีหนึ่ง หลังจากคุณขึ้นไป คราวนี้แหละเขาจะเกลียดคุณไปเลย มันเป็นความเสี่ยง ผมว่าไม่ใช่กลยุทธ์ที่ทำให้คนรู้จักคุณ อะไรที่เป็นการเมืองตอนนี้มันเสี่ยงหมด มันไม่ใช่การทำผ้าหลุดรอบปฐมทัศน์ อันนั้นอาจจะช่วยให้ดังขึ้นมาได้

เพราะฉะนั้น อาจารย์จึงมองว่าคนในวงการที่ออกมาแสดงจุดยืนของตัวเองในครั้งนี้มีความกล้าหาญมาก ถึงแม้จะไม่ได้ขึ้นเวทีปราศรัย แต่ประกาศความคิดผ่านโซเชียลมีเดียก็นับว่า “เสียสละ” มากแล้ว

เดี๋ยวนี้พอคุณโพสต์ในเฟซบุ๊ก ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณโพสต์กลางๆ หรือโพสต์แบบสุดขั้ว ถ้าโพสต์แบบสุดขั้วบ่อยๆ ก็เทียบเท่ากับแกนนำขึ้นเวทีปราศรัยเลยนะครับ สมมติว่าดาราคนหนึ่งมีคนตามคุณประมาณล้านกว่าคน ยิ่งกว่าคุณไปขึ้นเวทีอีก เพราะขึ้นเวที คนไม่ได้ตามไปดูเยอะขนาดนี้ แต่ถ้าคุณโพสต์ด่าอีกฝ่ายทุกวัน และมีคนตามคุณเป็นล้านๆ คนรับสารไปก็เยอะเหมือนกัน

โซเชียลมีเดียเทียบเท่ากับเวทีการเมืองเลยนะครับ เพราะคนเล่นเฟซบุ๊ก 15 ล้านคนเข้าไปแล้ว จากเมื่อ 3 ปีที่แล้ว คนเล่นแค่ 1 ล้านคน และเฟซบุ๊กตอนนี้ระดมคนมาได้เยอะมากในการชุมนุม โดยเฉพาะครั้งนี้ที่มีผลต่อการขยายตัวของมวลมหาประชาชนทั้งประเทศ

ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE



ข่าวที่เกี่ยวข้อง (คลิก)
“ตั๊ก” แรง! โพสต์อยากให้เสื้อแดงหายไปจากประเทศ
หลบร้อนการเมือง เปิดคัมภีร์เลี้ยงลูกสไตล์ "5 คุณพ่อรักชาติ"
ทัพดาราไทย ไม่เอา! 'คอรัปชั่น!' จุดยืนทางการเมือง ชักจูงกันไม่ได้?




เผยหมดใจ อินสตาแกรม ตั๊ก-บงกช



หมอก้อง
หยอง ลูกหยี
ศรัณยู วงษ์กระจ่าง
อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์
ครอบครัวเปล่งพานิช
กำลังโหลดความคิดเห็น