xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อ "ดารา-คนดัง" ถูกฉกรูปทำการตลาดแบบไร้ศีลธรรม!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ในยุคตลาดเสรีเฟื่องฟู โดยเฉพาะตลาดในโลกออนไลน์ที่ใครหลายคนมักเลือกใช้เป็นช่องทางขายสินค้าและบริการผ่านร้านค้าออนไลน์แทนร้านค้าในโลกออฟไลน์ ซึ่งเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่มีพลังการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคยุคไซเบอร์ที่มีฐานการเติบโตสูงขึ้นเรื่อย ๆ

แต่เมื่อร้านค้าดังกล่าวเริ่มบูม และมีคนให้ความสนใจ กลับพบการตลาดแบบมักง่าย และไร้ศีลธรรมที่แทรกซึมอยู่ในโซเชียลเน็ตเวิร์กมากขึ้น ไม่ว่าจะนำรูปดารา หรือบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการต่าง ๆ มาใช้ และเขียนเพื่อประกอบการขายสินค้าโดยไม่ได้ขออนุญาตจากเจ้าตัว เพราะหวังเพียงสร้างชื่อให้สินค้าเป็นที่รู้จัก เหมือนเป็นการรับรองกลายๆ ว่าสินค้าชิ้นนั้นดี และมีความเหมาะสม

ดาราไทยในยุคฉกฉวยของตลาด

เมื่อย้อนกลับไป หากใครจำกันได้ ปอย-ตรีชฎา มาลยาภรณ์ มิสอินเตอร์เนชั่นแนลควีน และมิสทิฟฟานี่ยูนิเวิร์ส ประจำปี 2547 ถูกมือดีนำภาพถ่ายเซ็กซี่ไปทำใบปลิว ซึ่งมีข้อความเป็นภาษาจีน เพื่อเชิญชวนใช้บริการ นวดพิเศษถึงที่ ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมเบอร์โทร. ซึ่งใบปลิวดังกล่าวได้ถูกนำไปแจกจ่ายทั่วมาเก๊า ประเทศจีน นับเป็นการสร้างความเสื่อมเสียให้กับเธออย่างโจ่งแจ้งทีเดียว

แม้ในใบปลิวจะเขียนว่านวดพิเศษ แต่ความหมายของมัน คือ การขายบริการของหญิงสาว ซึ่งที่ผ่านมา เธอไม่เคยถูกนำภาพไปใช้ในลักษณะนี้ที่ต่างประเทศ และยอมรับว่าตกใจกับเรื่องนี้มาก สุดท้ายก็มีการดำเนินครดี เพราะถ้าปล่อยให้เรื่องเลยตามเลยอาจมีคนนำรูปไปใช้ในทางที่ไม่ดีอีก

หรือ กรณีวีเจสาวขวัญใจหนุ่มชาคริต แย้มนาม วุ้นเส้น-วิริฒิพา ก็เคยถูกนิตยสารเล่มหนึ่งของประเทศเนปาลแอบฉกรูปแนวเซ็กซี่ไปขึ้นปกหนังสือ แถมวางขายแบกะดินอีกต่างหาก โดยชุดที่เธอสวมใส่อยู่นั้นเป็นแซ็กท์สายเดี่ยวลักษณะคล้ายชุดนอนบางๆ ซึ่งหลายคนพูดกันปากต่อปากว่าหนังสือเล่มดังกล่าวเป็นหนังสือสนองความต้องการของพวกเสือสิงห์กระทิงเปลี่ยว

ตามด้วยกรณี นาตาลี-ณัฐาศินี วิชัยดิษฐ นางแบบสุดเซ็กซี่ ที่ตกเป็นข่าวกรณีถูกนำรูปที่ถ่ายคู่กับดาราหนุ่มชื่อดัง "ปิ๊บ-รวิชญ์" มากล่าวอ้างหลอกลวงผู้เสียหายสั่งซื้อตุ๊กตาเฟอร์บี้ผ่านทางอินสตาแกรม จนทำให้มีผู้หลงเชื่อเป็นจำนวนมาก สุดท้ายตรวจสอบพบว่า ผู้ต้องหาได้โพสต์รูปของนางแบบท่านนี้ลงในอินเทอร์เน็ต โดยอ้างชื่อว่าแนท เป็นลูกครึ่งไทย-อิตาลี ในการหลอกลวงผู้เสียหาย

แม้แต่ ณเดชน์ คูกิมิยะ เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ และ บัวขาว ป.ประมุข นักมวยชื่อดังก็ไม่วายที่จะถูกมือมืดนำภาพไปทำการตลาดบนโลกออนไลน์ในเชิงหาเสียงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครครั้งที่ผ่านมา

ล่าสุด นิ้วกลม หรือ เอ๋-สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ นักเขียนขวัญใจคนรุ่นใหม่ และพิธีกรรายการทางโทรทัศน์ช่องไทยพีบีเอส ถูกนำภาพไปแปะไว้กลางแผ่นโฆษณาชิ้นหนึ่ง งานนี้เลยบานปลายกลายเป็นกระแสในแฟนเพจ Roundfinger ซึ่งเป็นเพจของนักเขียนชื่อดังท่านนี้

ทั้งนี้ นิ้วกลมซึ่งทราบเรื่องว่ามีการนำรูปถ่ายของเขาไปเขียนประกอบการค้าแบรนด์รองเท้ายี่ห้อหนึ่ง ได้เขียนข้อความโพสต์ลงเฟซบุ๊กเพจของเขาเมื่อไม่นานมานี้ โดยกล่าวตักเตือนด้วยความหวังดีต่อการนำรูปของเขาไปใช้โดยไม่ขออนุญาตว่า

......................................

ด้วยความเคารพ

มีเพื่อนส่งโฆษณาชิ้นนี้มาให้ดู แล้วถามว่า "รู้เรื่องกับเขาหรือเปล่าเนี่ย" เห็นแล้วก็งงว่าเดี๋ยวนี้เขาทำการค้ากันง่ายดายแบบนี้เชียวหรือ หารูปใครสักคนไปวางไว้กลางแผ่นโฆษณา เขียน copy โฆษณาตามใจชอบโดยไม่ต้องบอกกล่าวเจ้าของภาพ กระทั่งสามารถเขียนคำว่า "สิ้นคิด" ใส่ลงไปเพื่อประกอบภาพได้อย่างสนุกมือ

อันที่จริงอยากบอกว่าไม่ได้ถือสาอะไรกับคำว่า "ชุดลำลอง (สิ้นคิด)" เพราะผมก็สิ้นคิดจริงๆ พอดีเป็นคนแต่งตัวไม่เป็น ขี้เกียจแต่งตัว และขี้เกียจจะต้องมานั่งคิดทุกเช้าว่าจะหยิบตัวไหนดี ก็เลยแต่งตัวง่ายๆ แบบสิ้นคิดอย่างที่เห็นนี่แหละครับ

แต่สิ่งที่ไม่ค่อยเข้าใจก็คือ การที่สินค้า บริการ หรือร้านค้าออนไลน์ทั้งหลายอยากจะหยิบรูปใครไปใช้ เขียนถึงยังไงก็ได้ เพื่อประกอบการขายสินค้าตัวเองนั้น สามารถทำกันได้โดยไม่ต้องขออนุญาตเจ้าตัวกันเลยหรือ?

แม้รูปนี้ไม่ใช่ผม ผมก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีทำการค้าแบบง่ายๆ แบบนี้สักเท่าไหร่ หากคนทำสงสัยว่าทำไมต้องเดือดร้อน ก็ให้ลองสมมุติตัวเองว่าโดนตัดรูปไปใช้ แล้วเขียนคำโฆษณาว่า "ชุดลำลอง (สิ้นคิด)" ดู ก็อาจจะเข้าใจมากขึ้น หรือถ้าอยากซึบซับความรู้สึกให้ซาบซึ้งขึ้นไปอีก ก็ลองเขียน copy โฆษณาที่สุดโต่งกว่านี้ก็จะยิ่งเข้าใจ

ในฐานะคนที่อยู่ในสังคมเดียวกัน เราน่าจะช่วยกันสร้างค่านิยมที่ดีด้วยการทำสิ่งต่างๆ ด้วยความเคารพต่อผู้อื่น เพราะทุกครั้งที่คุณเคารพคนอื่นก็เท่ากับคุณกำลังเคารพตัวเองด้วย

ในสังคมเดียวกัน ถ้าผู้คนเคารพสิทธิของกันและกัน ก็คงจะน่ารักกว่า

จึงเรียนมาด้วยความเคารพว่าผมไม่รับทราบอะไรกับโฆษณาชิ้นนี้แม้แต่น้อย และจะเป็นพระคุณอย่างสูงหากทางผู้จัดทำจะกรุณาลบภาพนี้ทิ้งไปเสีย

ด้วยความเคารพอย่างสูง

เอ๋ นิ้วกลม (ผู้ใส่เสื้อยืดหลายยี่ห้อ และซักยีนส์เป็นประจำ)

......................................

ล่าสุด ทางผู้จัดทำโฆษณาชิ้นดังกล่าวก็ได้ออกมารับผิดชอบและแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งทางนิ้วกลมได้เขียนโพสต์ข้อความขอบคุณสำหรับการแก้ไขอย่างทันท่วงที

การตลาดยุคไซเบอร์ มักง่าย ไร้ศีลธรรม!

แม้กรณีนี้จะยอมความกันด้วยดี แต่กลับมีประเด็นให้ตามต่อกันในเรื่องการตลาดที่มักง่าย และไร้ศีลธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคตลาดเสรีเฟื่องฟูเฉกเช่นในยุคสมัยนี้

"ไม่ขออนุญาติ แล้วยังลงชื่อ การแอบอ้างแบบนี้ ผิดกฎหมาย บางทีคนทำผิดแล้วไม่ถูกลงโทษ อาจจะเข้าใจไปได้ว่า มันก็ทำได้นี่หว่า ไม่เห็นเป็นไรเลย ฉะนั้น คงได้รับบทลงโทษบ้าง ไรบ้าง"

"ทำโฆษณาโดยเอารูปใครสักคนไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ ควรต้องบอกกล่าวถามความสมัครใจ อยู่ดี ๆ เอาไปใช้ คนทำโฆษณานั่นแหละที่มันสิ้นคิด"

"ไม่น่าเชื่อว่ามีการทำแบบนี้ น่าจะมีการฟ้องและปรับ ดำเนินคดี เป็นการสอนให้เคารพสิทธิส่วนบุคคล อย่านิ่งเฉยปล่อยไปนะคะ ไม่งั้นจะเป็นการปล่อยให้คนประเภทนี้ลอยนวล ให้เขาประกาศขอโทษเป็นทางการในหน้าหนังสือพิมพ์ คนที่เหิมเกริมต้องโดนกำราบ เอาใจช่วยมากๆ เลยค่ะ"

"ดิฉันเรียนด้านโฆษณามา การที่สินค้าเอาใครไปเป็นแบบหรือ presenter เท่ากับ คนคนนั้น endorse หรือสนับสนุนและเหมือนเป็นการรับรองกลายๆ ว่าสินค้าชิ้นนั้นดี มีความเหมาะสม หากวันใดสินค้าของร้านนั้นไม่มีคุณภาพ presenter ก็เท่ากับเสียหายไปด้วยกลายๆ"

"กรณีนี้คุณนิ้วกลมเค้าไม่ทราบเรื่องเลยแต่ทางร้านกลับเอาภาพเค้าไปใช้ คนที่ไม่ทราบก็เท่ากับว่าคุณนิ้วกลมไปรับรองกลายๆ ว่าสินค้าของทางร้านใช้ได้เป็นที่พอใจ แต่หากวันใดสินค้ามีปัญหาคุณนิ้วกลมก็อาจเสียหายไปด้วยได้"

คือความเห็นบางส่วนที่โพสต์โต้ตอบในแฟนเพจของคุณนิ้วกลม ซึ่งตอกย้ำให้เห็นว่า การตลาดในลักษณะนี้ เป็นการตลาดที่ไร้จรรยาบรรณ ไม่รับผิดชอบต่อผู้อื่น และสังคม

สอดรับความเห็นจากนักวิชาการด้านการโฆษณาอย่าง นวฤทธิ์ ฤทธิโยธี อาจารย์ประจำด้านการโฆษณาและสื่อสารแบรนด์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ให้สัมภาษณ์ผ่านทีมข่าว Live อย่างตรงไปตรงมาในประเด็นเดียวกันนี้ว่า การทำตลาดแบบนี้ ไม่เคารพผู้อื่น เป็นการตลาดที่ไร้มารยาท และเห็นแก่ตัว

"ถ้าจะให้วิจารณ์กันตรง ๆ ในฐานะนักการตลาด ส่วนตัวมองว่า เป็นการตลาดที่ไม่รับผิดชอบสังคม และผู้อื่น แถมยังไร้มารยาท และจรรณยาบรรณ จริงอยู่ที่การขายสินค้าออกไปต้องทำให้กลุ่มเป้าหมายเกิดความตระหนักและรับรู้ต่อคุณค่าของสินค้า เป็นเรื่องปกติที่จะต้องมีดารา หรือบุคคลที่มีชื่อเสียงเข้ามาช่วย แต่ต้องมีวิธีที่ถูกต้องด้วย ไม่ใช่ฉกภาพของคนอื่นไปใช้ ซึ่งมันเป็นการฉกฉวยผลประโยชน์ที่เห็นแก่ตัว ไม่ลงทุน"

"กรณีที่เกิดขึ้น เป็นบทเรียนให้เห็นว่า แม้จะออกมาขอโทษกับการนำภาพคนดังไปใช้ แต่ก็เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะก่อนทำรู้อยู่แล้วว่าทำเพื่อหวังอะไร แต่สุดท้ายตัวเองก็เสีย เพราะทำการตลาดแบบตื้น ๆ และทำให้ผู้บริโภคหลงใหลในตัวสินค้าแบบไร้ศีลธรรม ยิ่งเอาภาพเขาไปเขียนประกอบการค้าในแง่ลบแล้ว ยิ่งเสียเข้าไปอีก โดยเฉพาะในแง่ของกฎหมายที่อาจถูกฟ้องในข้อหาหมิ่นประมาทได้"

ทั้งนี้ ในฐานะนักการตลาด และสื่อสารแบรนด์ ได้ฝากถึงพ่อค้าแม่ค้ายุคใหม่ที่อยากทำตลาดในลักษณะนี้ ว่า อาจทำให้กลุ่มเป้าหมายเกิดความสนใจในตัวสินค้าก็จริง แต่ไม่ยั่งยืนอย่างที่คิด ยิ่งทำการตลาดแบบแกมโกง และไม่รับผิดชอบต่อผู้อื่นด้วยแล้ว ดังเร็วก็ดับเร็วเป็นธรรมดา

เรื่องแบบนี้ จับไม่ได้ไล่ไม่ทันก็รอดไป แต่ถ้าถูกจับได้ว่ามีการนำภาพดารา คนดัง หรือแม้แต่บุคคลธรรมดาไปแอบอ้างไม่ว่าจะในกรณีใด ๆ ขอให้รู้เอาไว้ว่า ถ้าจะตรวจสอบกันจริง ๆ ก็ทำได้ไม่ยาก ยิ่งในยุคการตลาดเสรีเฟื่องฟู การโพสต์ภาพ แชร์ภาพเป็นสิ่งที่นิยมทำกัน แต่หากภาพนั้นถูกฉกฉวย และสร้างความเสื่อมเสียให้แก่เจ้าของภาพ อาจผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐ ซึ่งคู่กรณีอาจฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้

ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE




 นิ้วกลม หรือ เอ๋-สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ นักเขียนขวัญใจคนรุ่นใหม่ และพิธีกรรายการทางโทรทัศน์ช่องไทยพีบีเอส ถูกนำภาพไปแปะไว้กลางแผ่นโฆษณาชิ้นหนึ่ง งานนี้เลยบานปลายกลายเป็นกระแสในแฟนเพจ Roundfinger ซึ่งเป็นเพจของนักเขียนชื่อดังท่านนี้

กำลังโหลดความคิดเห็น