หุ้นเปิดบวก 4 จุด แต่วันนี้อาจมีการแกว่งตัว คาดเม็ดเงินรอบใหม่ไหลเข้าตลาด ลุ้นดัชนีทำนิวไฮต่อเนื่อง โดยทดสอบที่ 1,650 จุด นักลงทุนชาติชาติให้น้ำหนักการเมืองน้อยลง แต่หันไปให้น้ำหนักกับการลงทุนขนาดใหญ่แทน ด้านค่าเงินบาทเปิดแข็งเล็กน้อย ทองคำโลกหลุด 1,400 ดอลลาร์/ออนซ์ กองทุนอีทีเอฟโยกเงินลุยสินทรัพย์เสี่ยง ทองในประเทศปรับลง 300 บาท
ภาวะตลาดหุ้นไทย วันนี้ (16 พ.ค.) ดัชนีเปิดภาคเช้าในแดนบวก โดยเมื่อเวลา 10.00 น. ดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,634.17 จุด เพิ่มขึ้น 4.08 จุด หรือเปลี่ยนแปลง +0.25% มูลค่าการซื้อขาย 4,043.47 ล้านบาท
นักวิเคราะห์มองว่า ดัชนีหุ้นไทยวันนี้จะสามารถเดินหน้าได้ต่อเนื่อง โดยประเมินว่า จะมีกระแสเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยรอบใหม่ จากวานนี้ (15 พ.ค.) ที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิสูงถึง 4.6 พันล้านบาท
กรณีดังกล่าวส่งผลให้ตลาดยังคงมีทิศทางปรับขึ้น แต่วันนี้อาจแกว่งตัวบวกๆ ลบๆ ระหว่างวัน เพราะดัชนีปรับขึ้นทำนิวไฮต่อเนื่องช่วง 2 วันที่ผ่านมา เป็นธรรมดาที่ในระยะสั้นมากอย่างวันนี้จะแกว่งตัว เพราะน่าจะมีนักลงทุนบางส่วนมีการทำกำไรสลับออกมา เพื่อล็อกกำไร แต่ไม่ได้เป็นอะไรที่น่ากังวลเพราะยังคิดว่าดัชนีจะปรับขึ้นทดสอบ 1,650 จุด
ปัจจัยสนับสนุนเป็นเรื่องปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ บวกกับ sentiment ทางบวกที่มาจากตลาดหุ้นต่างประเทศอย่างสหรัฐฯ ช่วงนี้เดินหน้าทำนิวไฮเหมือนกัน โดยให้น้ำหนักลงทุนจะมาในกลุ่มหุ้นบิ๊กแคป สังเกตจากแรงซื้อนักลงทุนต่างชาติที่มีความต่อเนื่องในช่วงหลายวันนี้ และเป็นตัวที่ผลัก SET Index ทะลุแนวต่างๆ ขึ้นมาจนกระทั่งทำนิวไฮขึ้นเรื่อยๆ หุ้นในกลุ่มนี้จึงยังคงมีความน่าสนใจ ในจังหวะที่แรงซื้อต่างชาติยังคงอยู่
ขณะที่โบรกเกอร์หลายแห่งมองตรงกันว่า กระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (ฟันด์ โฟลว์) ยังคงไหลเข้าตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากคิวอีของสหรัฐฯ และยุโรป และล่าสุด ธนาคารกลางญี่ปุ่น ได้ประกาศมาตรการคิวอีออกมา ซึ่งถือเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้สภาพคล่องในระบบสูงขึ้น
ส่วนกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณชะลอการประกาศซื้อสินทรัพย์เพิ่ม หรือการออกมาส่งสัญญาณว่าอาจไม่จำเป็นต้องใช้มาตรการคิวอีต่อไป ซึ่งอาจทำให้สภาพคล่องหายไป นักลงทุนคงต้องจับตาประเด็นนี้ เพราะถือเป็นตัวแปรที่เข้ามากระทบกับสภาพคล่องในตลาด
ปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในไตรมาสแรกว่าออกมาดีตามที่คาดการณ์หรือไม่ ซึ่งจะส่งผลต่อดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ขณะเดียวกัน ต้องติดตามด้วยว่า หุ้นขนาดเล็กที่มีการเก็งกำไรในช่วงก่อนหน้า ผลประกอบการจะออกมาดีหรือไม่ หากไม่ดีก็อาจมีแรงขายออกมาในหุ้นขนาดเล็ก
ทั้งนี้ เชื่อว่านักลงทุนต่างชาติยังสนใจเข้าลงทุนตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสังเกตได้จากการไปโรดโชว์ต่างประเทศ นักลงทุนจะสอบถามข้อมูลเข้ามาเป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่อง
ส่วนปัจจัยที่มีผลต่อต่างชาติ ในการย้ายเงินเข้า-ออกตลาดหุ้นไทย ประเมินว่า นักลงทุนให้ความสำคัญกับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน เพราะมีส่วนกับราคาต่อผลกำไร (พี/อี) ซึ่งในขณะนี้ ถ้าเทียบราคาต่อผลกำไรแล้ว ถือว่าหุ้นไทยยังไม่แพง เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาค
ส่วนเรื่องปัญหาการเมือง นักลงทุนให้ความสำคัญน้อยลง แต่หันไปให้น้ำหนักกับเรื่องของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) มากกว่า ถ้าหากมีการชะลอการลงทุน อาจกระทบการลงทุนตลาดหุ้น และมีการเทขายทำกำไรออกมา คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ เป้าหมายอาจขึ้นทดสอบ 1,700 จุด
ส่วนค่าเงินบาทเปิดตลาดวันนี้ (16 พ.ค.) ที่ระดับ 29.70-29.72 บาท/ดอลลาร์ แข็งจากเล็กน้อยจากเย็นวานนี้ ที่ปิดตลาดที่ระดับ 29.73-29.75 บาท/ดอลลาร์ โดยเคลื่อนไหวตามภูมิภาค เพราะตลาดหุ้นต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น และดาวโจนส์เป็นบวก ขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดบอนด์ และตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ปัจจัยที่นักลงทุนควรติดตาม คือ มาตรการดูแลค่าเงินบาทและนโยบายการเงินของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะประชุมกันในวันที่ 29 พ.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม คาดว่าวันนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 29.55-29.80 บาท/ดอลลาร์
ด้านสมาคมค้าทองคำ ประกาศเปลี่ยนแปลงราคาครั้งแรก วันนี้ เมื่อเวลา 09.40 น. ปรับลดลง 300 บาท โดยทองคำแท่ง รับซื้อบาทละ 19,550.00 ขายบาทละ 19,650.00 ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้อบาทละ 19,268.36 ขายบาทละ 20,050.00 เมื่อเทียบกับราคาวานนี้ (15 พ.ค.)
ทั้งนี้ ราคาทองคำโลกหลุดระดับ 1,400 ดอลลาร์/ออนซ์ เมื่อคืนนี้ โดยสัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน มิ.ย.ร่วงลง 28.3 ดอลลาร์ หรือ 1.99% ปิดที่ 1,396.2 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาทองคำดิ่งลงไปเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 1,400 ดอลลาร์/ออนซ์ เมื่อคืนนี้ และยังได้ทำสถิติปิดตลาดในแดนลบติดต่อกันยาวนานที่สุดในรอบ 3 เดือน เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ความต้องการถือครองสัญญาทองคำซึ่งซื้อขายกันในรูปสกุลดอลลาร์นั้นลดน้อยลง โดยในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตนิวยอร์กเมื่อช่วงค่ำวานนี้ ดอลลาร์พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 6 สัปดาห์เมื่อเทียบกับยูโร
นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้กระตุ้นให้นักลงทุนเทขายทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย และหันไปเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยง ขณะเดียวกัน ตลาดทองคำได้รับปัจจัยลบจากข่าวที่ว่ากองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน EFT ด้านทองคำ ได้ลดการถือครองทองคำลง 298 ตัน สู่ระดับ 1,051.65 ตัน เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา จากระดับของวันที่ 2 ม.ค.ที่ 1,349.92 ตัน