“เอเชีย กรีน เอนเนอจี” บุกตลาดต่างประเทศหวังสร้างมูลค่าเพิ่มให้บริษัทฯ ชี้มั่นใจครึ่งปีแรกยอดขายต่างประเทศไม่ต่ำว่า 600,000 ตัน สูงกว่าปีก่อน ส่วนอินเดีย รอจ่อเซ็นสัญญาซื้อขายถ่านหินแล้ว 2-3 ราย คาดสามารถสรุปได้ในเร็วๆ นี้ เชื่อรายได้ปีนี้แตะ 6,000-6,500 ล้านบาท
นายพนม ควรสถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัทเอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด(มหาชน) หรือ AGE ผู้นำเข้าและจำหน่ายถ่านหินบิทูมินัส (ถ่านหินสะอาด) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) ในประเทศจีน ในช่วงครึ่งปีแรกไว้ 600,000 ตันเพิ่มขึ้นจากปี 2555 ทั้งปี ที่มียอดออเดอร์ 532,210 ตัน เป็นผลจากการขยายตัวของโรงไฟฟ้า และปริมาณการนำเข้าถ่านหินในประเทศเฉลี่ย 200 ล้านตันต่อปี ในขณะที่ความต้องการใช้ต่อปีอยู่ที่ 3,500 ล้านตัน เชื่อว่าความต้องการนำเข้าถ่านหินจีนยังมีแนวโน้มการขยายตัวได้ต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ในไตรมาส 2/2556 บริษัทฯ จะขยายตลาดไปยังประเทศอินเดีย ที่เตรียมจะสร้างโรงไฟฟ้ากว่า 200 โรง หรือ 80,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2560 ทำให้อินเดียนำเข้าถ่านหินเป็นอันดับ 2 ในเอเชียรองจีน คาดว่าการนำเข้าถ่านหินจะเพิ่มขึ้นเป็น 200 ล้านตันต่อปี ล่าสุด บริษัทฯ มีลูกค้าที่รอเซ็นสัญญาสั่งซื้อถ่านหินเข้ามาแล้วประมาณ 2-3 ราย คาดว่าจะสามารถสรุปดีลได้ และมียอดออเดอร์ ทยอยเข้ามาภายในไตรมาส 2 นี้อย่างแน่นอน
“ความต้องการใช้ถ่านหินในประเทศอินเดียยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของโรงไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น และประกอบกับการขยายตัวเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นโดยใน 2-3 ปีที่ผ่านมา ประเทศอินเดียมีนำเข้าถ่านหินที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากกำลังการผลิตภายในประเทศไม่เพียงพอกับความต้องการ” นายพนมกล่าว
ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าการขายครึ่งปีแรกไม่ต่ำกว่า 600,000 ตันในตลาดต่างประเทศ ยังไม่นับรวมยอดสั่งซื้อจากประเทศอินเดีย ในไตรมาส 2/2556 นี้ ทั้งนี้ หากเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ก็จะทำให้บริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศปีนี้ประมาณ 40% จากเป้าเดิมที่ 30% ของยอดขายทั้งหมด ส่วนยอดขายรวมทั้งในประเทศและประเทศของปี 2556 บริษัทฯ คาดว่าจะมียอดขายกว่า 2,200,000 ตัน ส่วนรายได้คาดว่าจะแตะระดับ 6,000-6,500 ซึ่งจะเห็นได้ว่าในปีนี้บริษัทจะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม แผนลดต้นทุนโครงการท่าเรือ และคลังสินค้านครหลวงทำให้บริษัทฯ สามารถกลับมาทำ New High ในส่วนของกำไรสุทธิ ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นโครงการประหยัดพลังงาน และได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ยกเว้นภาษีเงินได้ 8 ปี และลดต้นทุนขนส่ง ได้เฉลี่ยปีละกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวในข้างต้น ทำกำไรต่อปีจะเพิ่มสูงขึ้น 1-2% ต่อปี โดยสามารถรับรู้ได้ตั้งแต่ไตรมาส 3/2555 ที่คลังสินค้าเริ่มเปิดดำเนินการ