“หม่อมอุ๋ย” แนะการแก้ปัญหา “บาทแข็ง” แรง-เร็ว ต้องไม่กระทบตลาดหุ้น ชี้จุดเหมาะสม “ค่าบาท” ควรอยู่ที่ระดับ 29 บาทต่อดอลลาร์ พร้อมแนะต้องเร่งเคลียร์สารพัดข่าวลือท่วมตลาด ยันไม่เชื่อจะมีการปฏิวัติในยุคนี้ เพราะส่วนตัวไม่เคยได้ยิน และไม่เห็นมีใครเขาพูดกัน
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องในเวลานี้ โดยระบุว่า เท่าที่ได้สังเกตภาวะตลาดในช่วงนี้ ตนเองเชื่อว่าน่าจะมีการเข้ามาแทรกแซงเป็นระยะๆ ทำให้ค่าเงินบาทไม่ได้แข็งจนเกินไป
ส่วนมีความจำเป็นแล้วหรือยังที่ ธปท.จะต้องลดดอกเบี้ยนโยบาย หรือออกมาตรการควบคุมเงินทุนไหลเข้า เพื่อสกัดการแข็งค่านั้น ม.ร.ว.ปรียาธร กล่าวว่า ตนขอบอกตามตรงว่าไม่รู้เลยจริงๆ เพราะไม่ได้มีข้อมูลวงใน แต่เท่าที่ได้คุยกับจากทั้งคนในกระทรวงการคลัง ธปท. และคณะกรรมการนโยบายการเงินหลายคน ต่างก็พูดเป็นเสียงกันว่า จะพยายามไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งจนเกินไป แต่โจทย์ที่ตั้งไว้ก็คือ จะต้องไม่ไปกระเทือนกับตลาดหุ้นอย่างเด็ดขาด เพราะตลาดหุ้นกำลังเดินไปในทิศทางที่ดี และไปในลักษณะที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น ทำให้ธุรกิจหลายอย่างสามารถใช้เงินจากตลาดหุ้นไปขยายธุรกิจได้
ส่วนที่หลายฝ่ายวิตกกังวลว่า การแข็งค่าขึ้นของค่าเงินบาทในขณะนี้ เร็วเกินไปและจะกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจหรือไม่นั้น อดีต รมว.คลัง กล่าวว่า ส่วนตัวที่คิดว่า ที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วนั้นน่าจะอยู่ตั้งแต่ในช่วงครึ่งเดือนแรกของปี 2556 แล้ว แต่หลังจากนั้นก็นิ่งมาโดยตลอด และมากระตุกอีก 2-3 วันหลัง เพราะฉะนั้น ส่วนตัวคิดว่าน่าจะรอดูสถานการณ์ไปก่อนอีกสัก 1 สัปดาห์ หากเงินบาทนิ่งได้ก็แสดงความความจำเป็นในการใช้มาตรการต่างๆ ก็คงไม่มี เพราะต้องไม่ลืมว่า ที่ผ่านมา ยอดส่งออกก็ยังพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง จึงทำโดยส่วนตัวเห็นว่า สถานการณ์การแข็งค่าเงินบาทในระยะนี้ยังไม่ถือว่ารุนแรงขนาดที่จะต้องมีมาตรการใดออกมาแก้ไข
ทั้งนี้ โดยส่วนตัวเห็นว่าก็ควรจะไม่ให้ไปกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะมีวิธีการอีกเยอะแยะที่จะไม่ไปกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่น เท่าที่ตนเองได้ทราบจากที่มีนักข่าวไปสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่กระทรวงคลังคนหนึ่ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่นั้น ทราบว่า หากจะมีมาตรการอะไรออกมาเพื่อแก้ไขเรื่องดังกล่าว ก็จะใช้แต่กับเฉพาะเงินที่ไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งส่วนตัวก็เห็นว่าเป็นความคิดที่ดี เพราะตอนนี้ที่เข้ามาส่วนใหญ่ที่เข้ามามากก็คือเข้ามาหากำไรทั้งจากดอกเบี้ย และอัตราแลกเปลี่ยนในระยะสั้น
เพราะฉะนั้น หากเราสามารถเอาอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ เงินที่จะไหลเข้ามาทำกำไรก็จะน้อยลง เพราะผลต่างดอกเบี้ยอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ก็มีมาตั้ง 7-8 ปี แล้ว แต่จังหวะที่ได้ของแถมจากอัตราแลกเปลี่ยนต่างหากที่ทำให้เงินไหลเข้ามา ซึ่งหากเราสามารถกันตรงอัตราแลกเปลี่ยนได้อย่าให้แข็งเร็ว มันจะช่วยการไหลเข้ามาได้ส่วนหนึ่ง แต่ก็ขอติงนิดนึงว่า หากเป็นเรื่องจริงก็ไม่ควรที่จะพูดออกมาก่อน เพราะหากยังไม่พร้อม และถึงเวลาที่จะทำก็ไม่ควรจะออกมาส่งสัญญาณใดๆ ให้คนเกิดความสับสน และเกิดความตื่นตระหนก ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีใครเค้าทำกัน เพราะฉะนั้น ทางภาครัฐจึงควรให้ความสำคัญกับการระมัดระวังในการพูดจาให้มาก และดูสถานการณ์อย่างละเอียดจริงๆ
ส่วนการที่ตลาดหุ้นไทยตกลงอย่างหนักในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น เท่าที่ได้สอบถามจากบรรดาโบรกเกอร์ทราบว่า ประการแรก หุ้นที่มันขึ้นมากทำให้พวกรายใหญ่ อยากทำกำไรส่วนหนึ่งก่อน ซึ่งในส่วนนี้ตามปกติธรรมดาก็จะตกในราว 20-30 จุด แต่ส่วนที่ตกลงไป 100 กว่าจุดนั้น มาจากอีกปัจจัยหนึ่งก็คือ สารพัดข่าวลือที่เกิดขึ้น เช่น กรณีเรื่องการจะออกมาตรการเข้ามาจัดการเรื่องตราสารหนี้ ที่ตนเองพูดไว้ข้างต้นนั้น เพราะเมื่อมีข่าวดังกล่าวออกไป นักลงทุนรายใหญ่ไม่เชื่อ และในเมื่อจะเอากำไรแล้วก็เอาซะให้หนักเลย จึงทำให้หุ้นตกระเนระนาดเช่นที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ สำหรับข่าวลือเรื่องอาจจะมีการปฏิวัตินั้น ส่วนตัวไม่เคยได้ยิน และไม่เห็นมีใครเค้าลือกัน และโดยส่วนตัวก็เชื่อว่าไม่มี เพราะไม่มีเหตุผล หรือความเหมาะสมอะไรที่จะต้องทำซึ่งตอนนี้ไม่มีเลย
เมื่อถามว่าคิดว่าค่าเงินบาทขยับไปถึงจุดไหน จึงควรจะมีมาตรการใดๆ ออกมาแก้ไข อดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติ กล่าวว่า ตอบยาก เพราะมันอยู่ที่ค่าเงินอื่นขยับไปด้วยหรือไม่ เช่น ในกรณีค่าเงินเยนที่ในขณะนี้อ่อนลง เพราะฉะนั้น จึงเป็นตัวค้านที่ว่า ไทยควรต้องระวังอย่าให้แข็งไปกว่านี้อีก ซึ่งก็คือควรจะอยู่ที่ 29 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐไว้จึงจะดี
นอกจากนี้ ต่อคำถามตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้จะเป็นอย่างไรนั้น ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า ควรจะมีการเคลียร์กระแสข่าวต่างๆ ให้เกิดความชัดเจน ซึ่งหากทำได้ก็จะไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อตลาดหุ้น ส่วนจะขึ้นหรือลงคงตอบไม่ได้ เพราะไม่ใช่คนเล่นหุ้น