xs
xsm
sm
md
lg

“โต้ง” ส่งซิกหั่นภาษีนิติบุคคล 20% มั่นใจ ครม. เคาะ พ.ร.บ.กู้ 2.2 ล้านล้าน พร้อมโต้ฟองสบู่อสังหาฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กิตติรัตน์ ณ ระนอง
“ขุนคลัง” เผยมีโอกาสปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงจาก 20% พร้อมมั่นใจที่ประชุม ครม. พรุ่งนี้ เคาะ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท พร้อมโต้ “เอดีบี” เตือนฟองสบู่อสังหาฯ ยันไทยยังห่างไกล เพราะมีทั้งอุปสงค์และอุปทานที่ยังขยายตัวได้อีก และมีการทำงานสอดคล้องกัน จึงไม่กระทบระดับราคา แต่ยอมรับเป็นห่วงการปล่อยสินเชื่อของแบงก์พาณิชย์

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลังเปิดเผยว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการเตรียมเสนอแก้ไขประมวลรัษฎากร การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจากก่อนหน้านี้ ออกเป็นพระราชกฤษฎีกา ลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% ในปี 55 และเหลือ 20% ในปี 56 ซึ่งถือมีอัตราภาษีที่ต่ำเป็นที่ 2 ของอาเซียน และมีโอกาสที่จะลดภาษีลดต่ำกว่านี้ได้อีก เพราะมีหลายประเทศที่ยังมีภาษีที่ต่ำกว่า แต่สิ่งสำคัญที่ของการลดภาษีแล้วรัฐบาลจะต้องมีรายได้ที่เพียงพอ และทำให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเข้าสู่ระบบภาษีได้มากขึ้น

ทั้งนี้ หากภาษีต่ำ และทุกคนเข้าสู่ระบบก็เนเรื่องที่ดี แต่ตอนนี้มีหลายบริษัทมองว่ายังมีคนไม่เข้าสุ่ระบบ การแสดงยอดเงินได้พึงประเมินยังไม่ตรงความจริง แต่ที่ผ่านมาก็ได้รับความร่วมมือดีขึ้น รายได้ภาษีก็ดีขึ้น ถ้าจะทำทำไมไม่ทำให้ต่ำกว่า ก็มีโอกาสที่จะทำภาษีให้ต่ำกว่าฮ่องกง สิงคโปร์ได้

นายกิตติรัตน์ กล่าวอีกว่า สำหรับ พ.ร.บ.โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 2.2 ล้านล้านบาท จะนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันพรุ่งนี้ (19 มี.ค.) โดยยังคงกรอบวงเงินเดิม แต่อาจมีการปรับรายละเอียดโครงการลงทุนเล็กน้อย เช่น จะมีการลงทุนในการเพิ่มด่านศุลกากรด่านช่องจอม เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในอนาคต รวมถึงอาจมีการปรับเปลี่ยนเส้นทางคมนาคมบางจุด

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานคาดว่าจะเริ่มกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างได้ในไตรมาส 3/56 และกว่าจะเริ่มโครงการลงทุนจริงยังต้องใช้เวลาอาจเป็นช่วงปลายปีนี้ ดังนั้น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานจึงอาจยังไม่มีผลกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในปีนี้ แต่จะเริ่มเห็นชัดเจนในปีหน้า โดยปีหน้าคาดว่าเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ในอัตรา 4.5-5.5% สอดคล้องกับการประเมินของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)

นายกิตติรัตน์ กล่าวถึงการที่ผู้บริหารระดับสูงของธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี) ออกมาเตือนประเทศในเอเชียให้ระวังเงินทุนเคลื่อนย้าย และภาวะฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์นั้น ถือเป็นเรื่องที่จับตา แต่มองว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยยังไม่เกิดภาวะฟองสบู่ เนื่องจากภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยยังมีพื้นที่ให้ขยายตัวได้อีก

นายกิตติรัตน์ มองว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยแตกต่างจากบางประเทศที่เป็นเศรษฐกิจเมือง และมีอุปทานเกิดใหม่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่มีพื้นที่ขยายตัวที่จำกัดทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ปรับสูงขึ้น และผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยยังมีจำนวนมาก และมีความเข้มแข็ง ดังนั้น อุปสงค์และอุปทานยังทำงานที่สอดคล้องกัน ไม่เป็นอันตรายต่อระดับราคา แต่การปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์จะต้องระมัดระวัง

ทั้งนี้ การที่มีสภาพคล่องในระบบมากทำให้มีเงินร้อนเข้ามาเก็งกำไร แต่มองว่าส่วนใหญ่จะเข้ามาในตลาดตราสารหนี้ และเมื่อมีการขายตราสารฯ ก็จะมีสภาพคล่องอยู่ ก็อาจขยายมาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้ ก็ต้องจับตาทั้งทางตรง ทางอ้อม แต่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในระบบที่เป็นผลกระทบรุนแรง
กำลังโหลดความคิดเห็น