ปัญหาค่าเงินคลุมเครือ มิอาจชี้ชัดจะเกิดสงครามค่าเงินในอนาคตหรือไม่ เพราะยังไม่มั่นใจที่ธนาคารกลางของหลายๆ ประเทศจะไม่ใช้นโยบายลดค่าเงินของตนเพื่อป้องคไม่ให้แข็งค่าเกินไป หลังการเก็งกำไรค่าเงินเกิดขึ้นเมื่อปลายปี 55 ขณะ 17 ชาติกลุ่มยูโรโซนภาวะเศรษฐกิจถดถอยดิ่งลงทั้งกลุ่ม ตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปี 55 ส่งผลให้มีตัวเลขคนว่างงานเพิ่มสูงขึ้น ด้านสหรัฐฯ เสนอให้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จาก 7.25 เหรียญ/ชั่วโมง เป็น 9 เหรียญ/ชั่วโมง และภาคเอกชนออกมาคัดค้านเพราะเพิ่มภาระให้แก่ภาคธุรกิจ คล้ายกับประชานิยมของผู้นำไทยเพียงใช้เพื่อเรียกคะแนนนิยมของตนเองที่ตกไปกลับคืนมา เชื่อวิกฤตต้มยำกุ้งจะกลับมาในอีกไม่นาน
**7 วันที่ผ่านมา ราคาทองคําอยู่ในช่วงขาลงจากชวงต้นสัปดาห์ราคาอยู่ที่ระดับ 22,300/22,400 บาท ในวันที่อังคารที่ 12 ก.พ. พอถึงช่วงปลายสัปดาห์ในวันที่ 16 ก.พ. ราคาทองคําปรับตัวลงมาที่ 22,800/22,900 บาท นับเป็นราคาที่ต่ำสุดใน รอบ 8 เดือน ซึ่งเป็นราคาในระดับเดียวกับเมื่อวันที่ 16 พ.ค.2555**
สาเหตุที่ราคาทองคําในตลาดโลกปรับตัวลดลงแม้ว่าจะเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีนซึ่งปกติจะเป็นช่วงขาขึ้นของราคาทองคํานั้นมาจากทิศทางของคาเงินบาทที่ยังอยู่ในช่วงแข็งค่าขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ อีกทั้งยังมีการคาดคะเนว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และในกลุ่มประเทศยุโรปจะเริ่มฟื้นตัวให้ดีขึ้นมาบ้าง
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกยังมีทิศทางที่ดีขึ้นจึงมีการโยกย้ายการลงทุนจากทองคำมาเป็นหุ้น และการลงทุนผ่านตราสารทางการเงินที่หลายประเทศต้องการจะเก็บเงินในรูปแบบเงินสดของตนเองไว้เพื่อใช้ในการเข้าแทรกแซงค่าเงินของประเทศตนเองที่สูงเกินไป ซึ่งก็มีการแอบทำกันในหลายประเทศ แม้จะออกมากล่าวว่า การแทรกแซงค่าเงินจะทำให้เกิดสงคราค่าเงินแต่ก็ไม่อาจควบคุมได้
ขณะที่ไทยก็มีการแทรกแซงค่าเงินไปแล้ว 5.3 แสนล้านบาท ภายในระยะเวลา 4 เดือน และก็มิอาจแทรกแซงได้อีก เพราะภาครัฐหมดเงินในรูปแบบเงินคงคลังก็ต้องพยายามหาทางขอกู้จำนวน 2.2 ล้านล้านบาท ที่อาจจะต้องใช้คืนกันจนถึงชาติหน้า และแม้จะมีการแทรกแซงค่าเงินบาทแต่โดยรวมเงินบาทก็ยังแข็งค่าอยู่ตลอดเวลา
**นอกจากนี้ อีกสาเหตุที่ทองคำปรับตัวลงน่าจะมาจากการที่กองทุนทองคำของจอร์จ โซรอส นำทองคำออกมาขายโดยมีการลดการถือครองสัดส่วนการครอบครองในกองทุนทองคำ SPDR โกลด์ ทรัสต์ลงถึง 55% ตั้งแต่ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา และยังมีการขายหุ้นมูลค่า 18 ล้านเหรียญสหรัฐ คินรอสส์ โกลด์ คอร์ป ส่งผลให้ราคาทองคำเคยอยู่ในระดับ 1,800 เหรียญ/ออนซ์ลดลงมาอยู่ที่ 1,600 เหรียญ/ออนซ์**
รวมทั้งยังมีการรายงานตัวเลขการบริโภคทองคำที่ลดลงในปี 2555 ซึ่งเป็นยอดการบริโภคที่ต่ำสุดในรอบ 3 ปี แสดงให้เห็นว่าความต้องการบริโภคทองคำในปัจจุบันนั้นลดลงเพราะราคาทองคำอยู่สูงเกินความเป็นจริงมากไป อีกทั้งจากเศรษฐกิจที่รัดตัวทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีเงินมากที่จะเข้าซื้อทองคำเพื่อเก็บสะสม หรือลงทุน
**สิ่งที่น่าจับตามองต่อไป คือ คำแนะนำจากผู้สันทัดกรณี หรือกูรูต่างๆ ว่าจะแนะนำการลงทุนที่ดีแก่ลูกค้า หรือนักลงทุนต่างๆ เช่นไร หวังว่าคงไม่นำมาแค่คำแปลจากนักวิเคราะห์ต่างประเทศเพียงอย่างเดียว...ที่ผ่านมา ในช่วงปลายปี 2554 และปีก่อนคำแนะนำของกูรูบางรายสวนทางกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ทำให้นักลงทุนหลายรายติดดอย จนเข็ดขยาดไม่กลับเข้ามาลงทุนอีกก็มี**
จากการที่ผู้นำของบางประเทศในยูโรโซนมีความเป็นห่วงเป็นใยต่อการแข็งค่าของค่าเงินยูโร และต้องการให้ประเทศสมาชิก 17 ประเทศ หาทางแก้ไขไม่ให้เงินยูโรโซนแข็งค่ามากไปกว่านี้ แต่จากการที่มีการพบปะของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ หรือ G-7 ทุกประเทศกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า เกิดจากความผันผวนที่สูงเกินไป และอัตราแลกเปลี่ยนที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร้ระเบียบ ทำให้ค่าเงินยูโรแข็งค่าจึงส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจ และเสถียรภาพทางการเงินทำให้จำเป็นต้องป้องกันการแข่งขันการลดค่าเงิน และกลุ่ม G-7 จะไม่ทำให้ค่าเงินของตนเองอ่อนค่าด้วยการใช้นโยบายการเงิน แต่จะพยายามใช้การส่งเสริมอุปสงค์ภายในประเทศที่ซบเซา
โดยสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมกลุ่ม G 20 ก็มีแนวคิดที่จะให้ความชัดเจนต่อตลาดเงินและตลาดทุนว่า จะร่วมมือกำหนดนโยบายทางการเงิน และหลีกเลี่ยงการทำสงครามค่าเงินเพื่อชะลอความผันผวนของค่าเงินทั่วโลก ซึ่งจุดเริ่มต้นของการแข่งขันลดค่าเงินมาจากนโยบายของญี่ปุ่นที่ต้องการให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงมากกว่าเดิมเพื่อให้การส่งออกของประเทศดีขึ้น
** ทั้งนี้ กลุ่ม G20 ต้องให้ความสำคัญต่อการแก้ปัญหาสาธารณะยุโรปเพื่อป้องกันการชะลอตัวการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก หลังจากการประชุมที่รัสเซียยุติลงด้วยการประกาศให้คำมั่นว่าจะไม่ดำเนินนโยบายกดค่าเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และจะปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด **
ที่ผ่านมา สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น ได้มีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของตนเองจำนวนมาก โดยสหรัฐฯ ใช้เงินถึงเดือนละ 8.5 หมื่นล้านเหรียญ จากมาตรการ QE3 เพื่อเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลคืน รวมถึงพันธบัตรจากพวกอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ที่เกิดปัญหาด้านการเงินฝั่งจีนใช้เงิน 3.4 หมื่นล้านเหรียญ ในการแทรกแซงตลาดเงิน ด้านญี่ปุ่นใช้เงินมากถึง 101 ล้านล้านเยน มีการเข้าไปซื้อสินทรัพย์ (สำหรับสหรัฐฯ ตั้งแต่ QE 1 และ QE 2 มีการใช้เงินไปแล้ว 2.5 ล้านล้านเหรียญ ส่วน QE3 จะใช้ทั้งหมด 2 ล้านล้านเหรียญ
**โดยรวมยังไม่มีใครชี้ชัดได้ว่า จะเกิดสงครามค่าเงินในอนาคตหรือไม่ เพราะไม่มีใครมั่นใจที่ธนาคารกลางของหลายๆ ประเทศจะไม่ใช่นโยบายลดค่าเงินของตนเองเพื่อไม่ให้ค่าเงินของประเทศตนแข็งค่าจนเกินไป ซึ่งการเก็งกำไรค่าเงินได้เกิดการเก็งกำไรเกิดขึ้นแล้ว จากกองทุนโซรอส ฟันด์ เเมนเนเจอร์ตั้งแต่ พ.ย.2555 และสามารถทำกำไรได้ถึง 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ **
ขณะ 17 ชาติกลุ่มยูโรโซน ที่ใช้เงินยูโรด้วยกันมีภาวะเศรษฐกิจถดถอยดิ่งลงทั้งกลุ่ม ตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 55 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยอรมนี จากการส่งออกที่ลดลง ตามภาวะของเศรษฐกิจทั้งโลก กรีซแม้ได้รับความช่วยเหลือทางการเงินหลายรอบแต่ตัวเลขคนว่างงานก็ยังเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากการลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐทำให้เกิดการลดการว่างจ้างงานในราชการ นำมาซึ่งการประท้วงของประชาชนจนทำให้เศรษฐกิจของประเทศหยุดชะงัก และย่ำแย่ไป อังกฤษก็หนีไม่พ้นความถดถอยดังกล่าว ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งเกิดปัญหาขาดทุน จากหนี้สินที่มีปัญหาในการชำระหนี้จนต้องปลดพนักงานในช่วงที่ผ่านมา แต่มีเรื่องที่แปลกคือ ธนาคารที่มียอดขาดทุนกลับมีมูลค่าหุ้นดีขึ้น อีกทั้งมีการแจกปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น 8% พร้อมโบนัสแก่พนักงาน 1,854 ล้านปอนด์ นั่นคือ ธนาคาร บาร์เคลย์ จนทำให้หลายฝ่ายงงว่า บาร์เคลย์กำลังทำอะไรอยู่ ทั้งที่ในอนาคตปี 2558 ธนาคารจะต้องตัดลดค่าใช้จ่ายภายในองค์กรลงอีก 1,700 ล้านปอนด์
**ฟากสหรัฐฯ ในการแถลงนโยบายประจำปีของผู้นำได้มีการเสนอให้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จาก 7.25 เหรียญ/ชั่วโมง เป็น 9 เหรียญ/ชั่วโมง ซึ่งภาคเอกชนก็ออกมาคัดค้านและกังวลว่าจะเกิดการตกงานมากขึ้น เพราะจะเป็นการเพิ่มภาระให้แก่ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารโดยรวมมองว่า เป็นการใช้ประชานิยมเช่นเดียวกับผู้นำของไทยเพียงเพื่อเรียกคะแนนนิยมของตนเองที่ตกไปกลับคืนมา และก็เชื่อว่าวิกฤตต้มยำกุ้งกำลังจะกลับมาในไม่ช้า **
สิ่งสำคัญอีกประเด็นหนึ่งของสหรัฐฯ คือ จะมีการเริ่มเปิดการเจรจา FTA กับกลุ่มยุโรปในเดือนมิถุนายน ซึ่งมองว่าจะเป็นหนทางที่ทำให้สหรัฐฯ ดีขึ้น และจะเป็นการสร้างงานให้คนสหรัฐฯ ได้หลายล้านตำแหน่งถ้าการเจรจานั้นประสบผลสำเร็จ อีกทั้งจะกลายเป็นการค้าเสรีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเพราะครอบคลุมประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ถึง 5 ประเทศ คือ สหรัฐฯ เยอรมนี อังกฤษ ฝรั่งเศส และอิตาลี และจะเป็นการสร้างฐานการค้า ของสหรัฐฯ ในโลกเพื่อการแข่งขันกับการค้าจีน ที่จีนใช้ยุทธศาสตร์ให้ความช่วยเหลือเพื่อแลกกับผลประโยชน์ทางการค้าจนสามารถกุมเศรษฐกิจได้ในหลาย
ภูมิภาคของโลก ปิดท้ายกั้นที่ปัญหาหนี้เน่าของธนาคาร 2 แห่งของไทยที่กระทรวงการคลังอยู่ในฐานะผู้ดูแลดูท่าทียังไม่เห็นหนทางแก้ไขที่จะสัมฤทธิผล และอาจจะลามไปถึงอีก 3-4 แห่ง เพราะยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าจะมีหนี้เน่าซ่อนอยู่มากน้อยแค่ไหน
โดยเฉพาะธนาคารออมสิน ที่ปล่อยกูไปแทบทุกอย่าง บางอย่างก็ไม่ต้องมีการค้ำประกันตามนโยบายของคนที่อยู่ต่างแดนอันเป็นนโยบายประชานิยมที่รัฐบาลชุดนี้ชอบที่เพื่อใช้ในการรักษาฐานเสียงของตนเอง เช่นเดียวกับ ธนาคารกรุงไทย ที่ยังมีปัญหาจากการปล่อยกู้ให้แก่บริษัทแห่งหนึ่งที่ทำกิจการอสังหาริมทรัพย์ และรถยนต์ซึ่งยังเป็นหนี้อยู่หลายพันล้า หรือแม้แต่หนี้การปล่อยกู้ที่เกิดจากผู้บริหารชุดเก่าก็ยังมิได้กลับคืนมาน่าเสียดายที่ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ มีสิทธิเข้าไปตรวจสอบจนทำให้ประชาชนอดรู้ความจริงใกล้เลือกตั้งเข้ามาทุกขณะ โพลก็เกิดขึ้นมากมายโดยเฉพาะจากสถานศึกษาที่ดูเหมือนจะหมดความน่าเชื่อถือจึงอยากฝากคนกรุงเทพฯ ให้ออกไปเลือกตั้งอย่างมีสติและใช้วิจารณญาณในการตัดสินเลือกคนดีมาบริหารกรุงเทพฯ ไม่ใช่ปล่อยให้โพลจูงจมูก เหตุในความวุ่นวายในช่วงที่ผ่านของกรุงเทพฯ เกิดขึ้นเพราะใคร
***********
**7 วันที่ผ่านมา ราคาทองคําอยู่ในช่วงขาลงจากชวงต้นสัปดาห์ราคาอยู่ที่ระดับ 22,300/22,400 บาท ในวันที่อังคารที่ 12 ก.พ. พอถึงช่วงปลายสัปดาห์ในวันที่ 16 ก.พ. ราคาทองคําปรับตัวลงมาที่ 22,800/22,900 บาท นับเป็นราคาที่ต่ำสุดใน รอบ 8 เดือน ซึ่งเป็นราคาในระดับเดียวกับเมื่อวันที่ 16 พ.ค.2555**
สาเหตุที่ราคาทองคําในตลาดโลกปรับตัวลดลงแม้ว่าจะเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีนซึ่งปกติจะเป็นช่วงขาขึ้นของราคาทองคํานั้นมาจากทิศทางของคาเงินบาทที่ยังอยู่ในช่วงแข็งค่าขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ อีกทั้งยังมีการคาดคะเนว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และในกลุ่มประเทศยุโรปจะเริ่มฟื้นตัวให้ดีขึ้นมาบ้าง
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกยังมีทิศทางที่ดีขึ้นจึงมีการโยกย้ายการลงทุนจากทองคำมาเป็นหุ้น และการลงทุนผ่านตราสารทางการเงินที่หลายประเทศต้องการจะเก็บเงินในรูปแบบเงินสดของตนเองไว้เพื่อใช้ในการเข้าแทรกแซงค่าเงินของประเทศตนเองที่สูงเกินไป ซึ่งก็มีการแอบทำกันในหลายประเทศ แม้จะออกมากล่าวว่า การแทรกแซงค่าเงินจะทำให้เกิดสงคราค่าเงินแต่ก็ไม่อาจควบคุมได้
ขณะที่ไทยก็มีการแทรกแซงค่าเงินไปแล้ว 5.3 แสนล้านบาท ภายในระยะเวลา 4 เดือน และก็มิอาจแทรกแซงได้อีก เพราะภาครัฐหมดเงินในรูปแบบเงินคงคลังก็ต้องพยายามหาทางขอกู้จำนวน 2.2 ล้านล้านบาท ที่อาจจะต้องใช้คืนกันจนถึงชาติหน้า และแม้จะมีการแทรกแซงค่าเงินบาทแต่โดยรวมเงินบาทก็ยังแข็งค่าอยู่ตลอดเวลา
**นอกจากนี้ อีกสาเหตุที่ทองคำปรับตัวลงน่าจะมาจากการที่กองทุนทองคำของจอร์จ โซรอส นำทองคำออกมาขายโดยมีการลดการถือครองสัดส่วนการครอบครองในกองทุนทองคำ SPDR โกลด์ ทรัสต์ลงถึง 55% ตั้งแต่ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา และยังมีการขายหุ้นมูลค่า 18 ล้านเหรียญสหรัฐ คินรอสส์ โกลด์ คอร์ป ส่งผลให้ราคาทองคำเคยอยู่ในระดับ 1,800 เหรียญ/ออนซ์ลดลงมาอยู่ที่ 1,600 เหรียญ/ออนซ์**
รวมทั้งยังมีการรายงานตัวเลขการบริโภคทองคำที่ลดลงในปี 2555 ซึ่งเป็นยอดการบริโภคที่ต่ำสุดในรอบ 3 ปี แสดงให้เห็นว่าความต้องการบริโภคทองคำในปัจจุบันนั้นลดลงเพราะราคาทองคำอยู่สูงเกินความเป็นจริงมากไป อีกทั้งจากเศรษฐกิจที่รัดตัวทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีเงินมากที่จะเข้าซื้อทองคำเพื่อเก็บสะสม หรือลงทุน
**สิ่งที่น่าจับตามองต่อไป คือ คำแนะนำจากผู้สันทัดกรณี หรือกูรูต่างๆ ว่าจะแนะนำการลงทุนที่ดีแก่ลูกค้า หรือนักลงทุนต่างๆ เช่นไร หวังว่าคงไม่นำมาแค่คำแปลจากนักวิเคราะห์ต่างประเทศเพียงอย่างเดียว...ที่ผ่านมา ในช่วงปลายปี 2554 และปีก่อนคำแนะนำของกูรูบางรายสวนทางกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ทำให้นักลงทุนหลายรายติดดอย จนเข็ดขยาดไม่กลับเข้ามาลงทุนอีกก็มี**
จากการที่ผู้นำของบางประเทศในยูโรโซนมีความเป็นห่วงเป็นใยต่อการแข็งค่าของค่าเงินยูโร และต้องการให้ประเทศสมาชิก 17 ประเทศ หาทางแก้ไขไม่ให้เงินยูโรโซนแข็งค่ามากไปกว่านี้ แต่จากการที่มีการพบปะของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ หรือ G-7 ทุกประเทศกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า เกิดจากความผันผวนที่สูงเกินไป และอัตราแลกเปลี่ยนที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร้ระเบียบ ทำให้ค่าเงินยูโรแข็งค่าจึงส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจ และเสถียรภาพทางการเงินทำให้จำเป็นต้องป้องกันการแข่งขันการลดค่าเงิน และกลุ่ม G-7 จะไม่ทำให้ค่าเงินของตนเองอ่อนค่าด้วยการใช้นโยบายการเงิน แต่จะพยายามใช้การส่งเสริมอุปสงค์ภายในประเทศที่ซบเซา
โดยสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมกลุ่ม G 20 ก็มีแนวคิดที่จะให้ความชัดเจนต่อตลาดเงินและตลาดทุนว่า จะร่วมมือกำหนดนโยบายทางการเงิน และหลีกเลี่ยงการทำสงครามค่าเงินเพื่อชะลอความผันผวนของค่าเงินทั่วโลก ซึ่งจุดเริ่มต้นของการแข่งขันลดค่าเงินมาจากนโยบายของญี่ปุ่นที่ต้องการให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงมากกว่าเดิมเพื่อให้การส่งออกของประเทศดีขึ้น
** ทั้งนี้ กลุ่ม G20 ต้องให้ความสำคัญต่อการแก้ปัญหาสาธารณะยุโรปเพื่อป้องกันการชะลอตัวการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก หลังจากการประชุมที่รัสเซียยุติลงด้วยการประกาศให้คำมั่นว่าจะไม่ดำเนินนโยบายกดค่าเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และจะปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด **
ที่ผ่านมา สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น ได้มีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของตนเองจำนวนมาก โดยสหรัฐฯ ใช้เงินถึงเดือนละ 8.5 หมื่นล้านเหรียญ จากมาตรการ QE3 เพื่อเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลคืน รวมถึงพันธบัตรจากพวกอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ที่เกิดปัญหาด้านการเงินฝั่งจีนใช้เงิน 3.4 หมื่นล้านเหรียญ ในการแทรกแซงตลาดเงิน ด้านญี่ปุ่นใช้เงินมากถึง 101 ล้านล้านเยน มีการเข้าไปซื้อสินทรัพย์ (สำหรับสหรัฐฯ ตั้งแต่ QE 1 และ QE 2 มีการใช้เงินไปแล้ว 2.5 ล้านล้านเหรียญ ส่วน QE3 จะใช้ทั้งหมด 2 ล้านล้านเหรียญ
**โดยรวมยังไม่มีใครชี้ชัดได้ว่า จะเกิดสงครามค่าเงินในอนาคตหรือไม่ เพราะไม่มีใครมั่นใจที่ธนาคารกลางของหลายๆ ประเทศจะไม่ใช่นโยบายลดค่าเงินของตนเองเพื่อไม่ให้ค่าเงินของประเทศตนแข็งค่าจนเกินไป ซึ่งการเก็งกำไรค่าเงินได้เกิดการเก็งกำไรเกิดขึ้นแล้ว จากกองทุนโซรอส ฟันด์ เเมนเนเจอร์ตั้งแต่ พ.ย.2555 และสามารถทำกำไรได้ถึง 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ **
ขณะ 17 ชาติกลุ่มยูโรโซน ที่ใช้เงินยูโรด้วยกันมีภาวะเศรษฐกิจถดถอยดิ่งลงทั้งกลุ่ม ตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 55 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยอรมนี จากการส่งออกที่ลดลง ตามภาวะของเศรษฐกิจทั้งโลก กรีซแม้ได้รับความช่วยเหลือทางการเงินหลายรอบแต่ตัวเลขคนว่างงานก็ยังเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากการลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐทำให้เกิดการลดการว่างจ้างงานในราชการ นำมาซึ่งการประท้วงของประชาชนจนทำให้เศรษฐกิจของประเทศหยุดชะงัก และย่ำแย่ไป อังกฤษก็หนีไม่พ้นความถดถอยดังกล่าว ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งเกิดปัญหาขาดทุน จากหนี้สินที่มีปัญหาในการชำระหนี้จนต้องปลดพนักงานในช่วงที่ผ่านมา แต่มีเรื่องที่แปลกคือ ธนาคารที่มียอดขาดทุนกลับมีมูลค่าหุ้นดีขึ้น อีกทั้งมีการแจกปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น 8% พร้อมโบนัสแก่พนักงาน 1,854 ล้านปอนด์ นั่นคือ ธนาคาร บาร์เคลย์ จนทำให้หลายฝ่ายงงว่า บาร์เคลย์กำลังทำอะไรอยู่ ทั้งที่ในอนาคตปี 2558 ธนาคารจะต้องตัดลดค่าใช้จ่ายภายในองค์กรลงอีก 1,700 ล้านปอนด์
**ฟากสหรัฐฯ ในการแถลงนโยบายประจำปีของผู้นำได้มีการเสนอให้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จาก 7.25 เหรียญ/ชั่วโมง เป็น 9 เหรียญ/ชั่วโมง ซึ่งภาคเอกชนก็ออกมาคัดค้านและกังวลว่าจะเกิดการตกงานมากขึ้น เพราะจะเป็นการเพิ่มภาระให้แก่ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารโดยรวมมองว่า เป็นการใช้ประชานิยมเช่นเดียวกับผู้นำของไทยเพียงเพื่อเรียกคะแนนนิยมของตนเองที่ตกไปกลับคืนมา และก็เชื่อว่าวิกฤตต้มยำกุ้งกำลังจะกลับมาในไม่ช้า **
สิ่งสำคัญอีกประเด็นหนึ่งของสหรัฐฯ คือ จะมีการเริ่มเปิดการเจรจา FTA กับกลุ่มยุโรปในเดือนมิถุนายน ซึ่งมองว่าจะเป็นหนทางที่ทำให้สหรัฐฯ ดีขึ้น และจะเป็นการสร้างงานให้คนสหรัฐฯ ได้หลายล้านตำแหน่งถ้าการเจรจานั้นประสบผลสำเร็จ อีกทั้งจะกลายเป็นการค้าเสรีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเพราะครอบคลุมประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ถึง 5 ประเทศ คือ สหรัฐฯ เยอรมนี อังกฤษ ฝรั่งเศส และอิตาลี และจะเป็นการสร้างฐานการค้า ของสหรัฐฯ ในโลกเพื่อการแข่งขันกับการค้าจีน ที่จีนใช้ยุทธศาสตร์ให้ความช่วยเหลือเพื่อแลกกับผลประโยชน์ทางการค้าจนสามารถกุมเศรษฐกิจได้ในหลาย
ภูมิภาคของโลก ปิดท้ายกั้นที่ปัญหาหนี้เน่าของธนาคาร 2 แห่งของไทยที่กระทรวงการคลังอยู่ในฐานะผู้ดูแลดูท่าทียังไม่เห็นหนทางแก้ไขที่จะสัมฤทธิผล และอาจจะลามไปถึงอีก 3-4 แห่ง เพราะยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าจะมีหนี้เน่าซ่อนอยู่มากน้อยแค่ไหน
โดยเฉพาะธนาคารออมสิน ที่ปล่อยกูไปแทบทุกอย่าง บางอย่างก็ไม่ต้องมีการค้ำประกันตามนโยบายของคนที่อยู่ต่างแดนอันเป็นนโยบายประชานิยมที่รัฐบาลชุดนี้ชอบที่เพื่อใช้ในการรักษาฐานเสียงของตนเอง เช่นเดียวกับ ธนาคารกรุงไทย ที่ยังมีปัญหาจากการปล่อยกู้ให้แก่บริษัทแห่งหนึ่งที่ทำกิจการอสังหาริมทรัพย์ และรถยนต์ซึ่งยังเป็นหนี้อยู่หลายพันล้า หรือแม้แต่หนี้การปล่อยกู้ที่เกิดจากผู้บริหารชุดเก่าก็ยังมิได้กลับคืนมาน่าเสียดายที่ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ มีสิทธิเข้าไปตรวจสอบจนทำให้ประชาชนอดรู้ความจริงใกล้เลือกตั้งเข้ามาทุกขณะ โพลก็เกิดขึ้นมากมายโดยเฉพาะจากสถานศึกษาที่ดูเหมือนจะหมดความน่าเชื่อถือจึงอยากฝากคนกรุงเทพฯ ให้ออกไปเลือกตั้งอย่างมีสติและใช้วิจารณญาณในการตัดสินเลือกคนดีมาบริหารกรุงเทพฯ ไม่ใช่ปล่อยให้โพลจูงจมูก เหตุในความวุ่นวายในช่วงที่ผ่านของกรุงเทพฯ เกิดขึ้นเพราะใคร
***********