“ไนท์แฟรงค์” แตกไลน์ธุรกิจรับบริหารโครงการหรู ราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป เผยนักลงทุนชาวสิงคโปร์ ฮ่องกง กลุ่มลูกค้าหลัก
นายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เมื่อปี 2555 ที่ผ่านมา บริษัทฯได้ขยายไลน์ธุรกิจด้วยการบริหารงานขายบ้าน และคอนโดฯ มือสองระดับพรีเมียม ระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ที่ลูกค้าที่ซื้อแล้วต้องการขายต่อ ซึ่งจนถึงปัจจุบัน มีลูกค้าแล้วประมาณ 70 ยูนิต จากประมาณ 15 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นบ้าน และห้องชุดย่านใจกลางเมือง(CBD) เช่น โครงการ เดอะ ริเวอร์, โครงการ เดอะ สุโขทัย เรสซิเดนซ์เซส เป็นต้น โดยหากลูกค้าเสนอขายในราคาที่เหมาะสมก็จะสามารถปิดการขายได้ภายในระยะเวลา 3 เดือน แต่ถ้าเสนอขายในราคาไม่เหมาะสม ก็จะปิดการขายได้ภายใน 6 เดือน โดยลูกค้าสัดส่วนประมาณ 60-70% จะเป็นชาวต่างชาติ โดยเฉพาะฮ่องกง และสิงคโปร์ ส่วนที่เหลือจะเป็นลูกค้าคนไทย
“การที่บริษัทขยายไลน์ธุรกิจไปสู่ตลาดไฮเอนด์ เนื่องจากเป็นนโยบายของบริษัทแม่ที่นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ต้องการทำเรสซิเดนซ์ เอเยนซี และบริหารสินทรัพย์ราคาแพง ซึ่งเป็นนโยบายที่ทุกสาขากว่า 200 แห่งทั่วโลกต้องปฏิบัติตาม” นายพนมกล่าว
สำหรับกลุ่มนักลงทุนต่างชาติที่ถือว่าเป็นกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ของไทย ได้แก่ ชาวสิงคโปร์ โดยเฉพาะในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จะมีนักธุรกิจชาวสิงคโปร์เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด แต่พอช่วงที่เกิดความไม่สงบทางการเมือง ด้วยความที่ชาวสิงคโปร์มีความอ่อนไหวต่อเรื่องดังกล่าว จึงทำให้ขาดความเชื่อมั่นชะลอการลงทุน แต่ปัจจุบัน การเมืองนิ่ง นักลงทุนก็เริ่มทยอยเข้ามาลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง
ส่วนกรณีที่มีห้องชุดราคาแพง หรือซูเปอร์ลักชัวรี่เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องนั้นถือเป็นเรื่องปกติ เพราะสินค้าที่มีอยู่ในตลาดมีจำนวนน้อย ขณะที่กลุ่มลูกค้าแม้ว่าจะมีไม่มาก แต่ยังมีกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่ยังมีความต้องการสูงเช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงนี้ซึ่งเป็นช่วงใกล้เปิด AEC ทำให้มีนักลงทุนทยอยเข้ามาลงทุนทั้งในไทย และประเทศเพื่อนบ้านจำนวนมาก ซึ่งนักลงทุนกลุ่มนี้ต้องการที่พักอาศัยในไทย
ปัจจุบัน โครงการที่มีราคา/ตารางเมตรแพงที่สุดคือ “เดอะ เซ็นต์รีจิส” ราคาขายอยู่ที่ 400,000 บาท/ตารางเมตร ล่าสุด บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เตรียมเปิดโครงการ แกลอรี่ ซอย 39 ราคาเฉลี่ย/ตร.ม. ที่ 250,000-300,000 บาท/ตร.ม. ขณะที่บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เตรียมพัฒนาคอนโดฯ ระดับราคา 500,000 บาท/ตร.ม. ในย่านเพลินจิต และเชื่อว่าเมื่อมีการเปิดโครงการมากๆ ตลาดจะเริ่มรับได้กับคอนโดฯ ราคา 200,000 บาท/ตร.ม.
อย่างไรก็ดี ในช่วงเดือน มี.ค.-พ.ค.บริษัทมีแผนนำคอนโดฯ 3-4 โครงการ ไปโรดโชว์ยังประเทศสิงคโปร์ หลังจากที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้วเมื่อปี 2555 โดยนำคอนโดฯ ไปเพียงโครงการเดียว สามารถทำยอดขายได้สูงถึง 200 ล้านบาท โดยราคาที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ 5 ล้านบาทขึ้นไป ขณะที่ทำเลที่ได้รับความนิยมคือ สุขุมวิท และย่าน CBD
ด้านนายแฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาโครงการที่พักอาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2555 ที่ผ่านมานับเป็นปีของการซื้อขายคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะโครงการที่เปิดตัวบริเวณสุขุมวิท และพื้นที่ธุรกิจการค้า เช่น สาทร นราธิวาส ชิดลม เพลินจิต และราชดำริ อัตราการเข้าพักพิสูจน์ให้เห็นถึงข้อได้เปรียบของทำเลยอดนิยม และการมีอยู่อย่างจำกัดของที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการตึกสูงในสุขุมวิท และพื้นที่ธุรกิจการค้า ทำให้จำนวนสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดน้อย และมีราคาแพง ส่งผลให้ทำเลที่อยู่ใกล้เคียงได้รับอานิสงส์ไปด้วย เช่น รัชดาภิเษก และลาดพร้าว รวมถึงคอนโดฯ มือสองก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเช่นกัน
นอกจากนี้ นักลงทุนยังถือเป็นอีกกลุ่มลูกค้าที่มีบทบาทสำคัญในตลาดอสังหาฯ โดยสามารถแบ่งนักลงทุนออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ 1.นักลงทุนที่ให้ความสำคัญเรื่องผลตอบแทนรายปีจากค่าเช่า และการเติบโตของทุนมากกว่าการขายต่อ โดยอัตราค่าเช่าในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาเป็นที่น่าพอใจสำหรับนักลงทุน โดยมีอัตราผลตอบแทน 5-6% ต่อปี
อย่างไรก็ดี แนวโน้มการเติบโตของอสังหาฯ จะมีมากขึ้นหลังจากที่มีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ซึ่งก่อนหน้านี้ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ประกาศว่าประเทศไทยจะมีบทบาทสำคัญในการรวมตัวอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ประกอบกับเศรษฐกิจของยุโรปกำลังตกต่ำ ซึ่งจะผลักดันให้ชาวยุโรป และอเมริกันเดินทางมากรุงเทพฯ เพื่อสร้างธุรกิจตลอดจนหางานทำ 2.กลุ่มนักลงทุน (ชาวไทย) ที่ตั้งใจเก็บสินทรัพย์เอาไว้
นายแฟรงค์ กล่าวต่อว่า มีการคาดหวังกันว่า ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2556 จะยังได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากทั้งผู้ซื้อในประเทศ และผู้ซื้อต่างประเทศ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ความมั่นคงทางการเมือง โครงการเมกะโปรเจกต์ของรัฐบาล และบทบาท AEC และ ASEAN ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญในการพิจารณา เนื่องจากสร้างผลกระทบต่อตลาดได้ ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากชาวอเมริกัน และชาวยุโรป กลุ่มผู้ซื้อชาวต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยน่าจะมาจากสิงคโปร์ ฮ่องกง ญี่ปุ่น รวมถึงหน้าใหม่อย่าง จีน รัสเซีย ไต้หวัน และอินเดีย