xs
xsm
sm
md
lg

บ่วงวันวาร ตอนที่ ๑๒ จบบริบูรณ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บ่วงวันวาร ตอนที่ ๑๒ อวสาน

เวลาเดียวกันที่สนามฝึกยิงปืน ยินเสียงปืนดังรัวติดๆ กันหลายนัด เห็นลูกกระสุนเข้าเป้าตรงจุดสำคัญอย่างแม่นยำทุกนัด เสียงปืนยังดังรัวติดกันขึ้นอีก ที่แท้คนยิงเป็นพิมพิลาสที่สีหน้า แววตามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว

พิมพิลาสหยุดยิง มองดูผลงานจากฝีมือตัวเองอย่างพึงพอใจ

ขณะที่พิมพิลาสกำลังล้างมืออยู่ที่อ่างในห้องน้ำของสนามยิงปืน
พิศปรากฏตัวขึ้น แทนเงาของพิมพิลาสในกระจก กล่าวชื่นชม
“เอ็งพร้อมแล้ว”
พิมพิลาสมองเข้าไปในกระจกสู้หน้าพิศ ทั้งคู่เหมือนจ้องตากัน
“ทีนี้ก็เหลือแต่ว่าเอ็งจะหาทางเข้าไปหามันยังไง”
พิศมองมายังพิมพิลาส

ครู่ต่อมาพิมพิลาสเดินออกมาที่ลานจอดรถ เปิดประตูรถ และเข้าไปนั่งในรถ ห่างออกมาป้าทิพย์แอบดูอยู่ มองตามรถพิมพิลาสแล่นออกไป สีหน้าแปลกใจ
“หนูพิมมาฝึกยิงปืนทำไม”
ป้าทิพย์สงสัย

รุ่งเช้าที่บ้าน “โกสินทร์พิทักษ์” ยายสร้อยนั่งเก้าอี้โยกอยู่ที่ระเบียง สักครู่หนึ่ง บุษบันกับภีร์ภูมิเดินเข้ามา ภีร์ภูมิวางกระเช้าผลไม้ไว้ที่โต๊ะ สองคนไหว้ทักทายยายสร้อย
“ผมเอาผลไม้มาฝากครับ”
“ขอบใจ ว่าแต่ฉันควรรับไหว้หรือไหว้เธอดีนะ”
ทั้งสามคนหัวเราะกันเบาๆ
“ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ ที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”
“ผมก็คิดไม่ถึงเหมือนกันครับว่าจะมีเรื่องนี้อยู่จริง
“มันไม่ใช่เรื่องธรรมดา การที่ทุกคนกลับมาพบกันใหม่ ต้องมีใครกำหนดไว้แล้ว ถ้าไม่กลับมาแก้ไขก็ต้องกลับมาชดใช้”
“เรื่องนี้แหละค่ะที่ทำให้บุษมาหาคุณยายอีก”
ยายสร้อยมองหน้าบุษบัน
“บุษอยากรู้ว่า ใครเป็นคนที่ทำให้เราสองคนต้องตายในชาติที่แล้วคะ”
ยายสร้อยนิ่งอึ้ง

อีกมุมหนึ่งในบ้าน ยายสร้อยค่อยๆ เล่าเรื่องรักสามเส้าแสนรันทด จนมองเห็นเป็นภาพในอดีตประกอบเสียงบรรยายของแก

“เธอชื่อคุณพิศ เป็นลูกสาวของพระยาสมาน ตอนแรกผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายตั้งใจจะให้แต่งงานกับปู่ฉัตร แต่ปู่ฉัตรไม่ได้รักเธอ ทั้งๆ ที่เธอเป็นคนที่สวย เพียบพร้อม และเหมาะสมที่สุด”

“แล้วยังไงต่อคะ” บุษบันซัก
ยายสร้อยเล่าต่อ “พอถึงวันแต่งงานปู่ฉัตรยกเลิกงานแต่งอย่างกะทันหัน และหนีไปกับบ่าวคนรัก คุณพิศโกรธมากเลยตามไปขัดขวาง”
ภีร์ภูมิเป็นฝ่ายพูดต่อ “แล้วคุณพิศก็เลยจับเราสองคนถ่วงน้ำไปพร้อมกับตรวน”
ยายสร้อยพยักหน้า ก่อนจะออกตัวว่าตนก็ได้ยินคนอื่นเล่าต่อมา
“แต่นั่นก็เป็นเพียงเรื่องเล่าที่เล่าต่อ ๆ กันมา ไม่มีใครยืนยันได้แน่นอน”
บุษบันนึกสงสัย “หลังจากที่คุณพิศฆ่าเราสองคนแล้วเธอทำยังไงต่อคะ”
“เธอก็ฆ่าตัวตายตามทั้งคู่ไปเพื่อหนีความผิด” ยายสร้อยว่า
บุษบันกับภีร์ภูมิได้ยินก็รู้สึกสลดใจไปด้วย
“น่าสงสารคุณพิศเธอจังเลย คงจะเสียใจ และผิดหวังมาก” บุษบันว่า
“แต่ก็โหดร้ายเหลือเกิน จนผมอยากเห็นว่าหน้าตาเป็นยังไง คุณยายพอจะมีรูปของคุณพิศไหมครับ” ภีร์ภูมิถามด้วยความอยากเห็น
“ไม่มี เมื่อตอนฉันเป็นเด็กยังถูกห้ามให้พูดเรื่องนี้เลย แล้วฉันจะเอารูปมาจากไหน” ยายสร้อยบอก
“แล้วเราจะทำยังไงถึงจะได้เห็นรูปคุณพิศ”
ยายสร้อยนิ่ง คิดอะไรบางอย่างในใจ
“ถ้าอยากเห็นจริง ๆ ก็ยังพอมีทาง”
ภีร์ภูมิกับบุษบันมองหน้ากัน ยิ้มมีความหวัง

ในเวลาต่อมา สองคนพากันมาอยู่ที่บ้านทายาทพระยาสมาน ภีร์ภูมิกับบุษบันยืนมองรูปพระยาสมานที่ติดเด่นเป็นสง่าอยู่ ตรงผนังเบื้องหน้า ยายสร้อยยืนอยู่ข้างๆ
“ทายาทที่หลงเหลือยู่ของพระยาสมานก็มีแค่ที่นี่แหละ” ยายสร้อยสำทับ
“และหวังว่าคงจะมีรูปคุณพิศนะครับ” ภีร์ภูมิพูดอย่างมีหวัง
สักครู่ ก็มีชายสูงวัยอายุประมาณ 40 กว่าๆ ถือหีบหนังโบราณ ใบขนาด กว้าง 1 เมตร ยาว 0.5 เมตรเข้ามา
“นี่ครับ หีบที่มีรูปของต้นตระกูลผม”
ทายาทพระยาสมานวางหีบหนังไว้บนโต๊ะ
“ในหีบใบนี้ต้องมีรูปคุณพิศแน่ๆ ครับ” ทายาทคนนั้นบอก
สามคนเดินเข้ามาดูใกล้ ๆ ภีร์ภูมิใจร้อน เอื้อมมือไปเปิดหีบ แต่เปิดไม่ได้
“เปิดไม่ได้นี่ครับ”
“ครับ! ล็อคกุญแจมันเสีย ผมเคยพยายามเปิดหีบหลายครั้งแล้ว แต่เปิดยังไงก็เปิดไม่ออก ถ้าคุณมีวิธีเปิดได้ก็เอาไปเถอะครับ แต่ผมขอร้อง อย่าทำลายหีบนะครับ” ทายาทพระยาสมานกล่าวขอร้อง

บุษบันกับภีร์ภูมิพยักหน้ารับคำ ทั้งคู่มองไปยังหีบหนังอย่างมีความหวัง

หลังฉันเพล หลวงพ่อกสินนั่งอยู่ที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ กำลังให้ข้าวหมาตัวหนึ่งอยู่

“เจ้านายเอ็งไม่รู้ไปอยู่ไหน มันจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้ แต่เอ็งไม่ต้องห่วงมันหรอก ยังไงมันก็ต้องกลับมาหาเอ็ง เพราะมันกับเอ็งทำเวรทำกรรมร่วมกันมา”
น่าอัศจรรย์นัก หมาตัวเมียที่ชื่อ “แด่น” ทำท่าเหมือนจะฟังหลวงพ่อกสินรู้เรื่อง

ระหว่างนั้นรถของตะวันฉายแล่นเข้ามาจอดที่ลานวัด ครู่หนึ่งตะวันฉายกับกนิษฐาก้าวลงมาจากรถ และพยายามพามากลงมาจากรถแต่มากจับเบาะไว้แน่นไม่ยอมลง
“ฉันไม่ลง! ฉันไม่ลง!”
“ลงมาเถอะลุง จะได้รู้ว่าคุณหนูคนนั้นเป็นใคร”
“ไม่! ฉันไม่อยากรู้ ฉันกลัว”
หลวงพ่อกสินเดินมาหา
“เอ็งจะกลัวอะไร อะไรจะเกิดก็ต้องให้มันเกิด”
“หลวงพ่อ ฉันกลัว! ฉันกลัวคุณหนูจะฆ่าฉัน” มากละล่ำละลัก
ตะวันฉายหันไปเห็นหลวงพ่อกสินรู้สึกศรัทธาขึ้นมาอย่างประหลาดล้ำ
ตะวันฉายไหว้หลวงพ่อกสิน
“หลวงพ่อรู้จักคุณหนูคนนั้นเหรอครับ”
ตะวันฉายมองหลวงพ่อรอฟัง หลวงพ่อกสินนิ่ง

ตะวันฉาย กับกนิษฐานั่งสนทนาอยู่กับหลวงพ่อกสินบนศาลาการเปรียญในวัด
“หลวงพ่อรู้เรื่องที่คุณหนูมาทำพิธีอะไรนั่นใช่ไหมคะ”
“เขามาทำพิธีดูอนาคต แต่มันฝืนกฎธรรมชาติ เป็นเรื่องที่ไม่ถูกไม่ควร”
“ถ้าอย่างงั้นก็แสดงว่าเป็นเรื่องจริง จะมีคนตายเพราะตรวนจริงๆ เหรอครับ” ตะวันฉายบอก
“โยมอย่าไปรู้เรื่องของอนาคตเลย ถ้ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ ใครก็ห้ามไม่ได้” หลวงพ่อพูดเทศนา
กนิษฐาสงสัยมาก “แล้วหลวงพ่อรู้ไหมคะว่าคุณหนูคนนั้นเป็นใคร”
หลวงพ่อกสินตอบนิ่งๆ
“อาตมาบอกโยมไม่ได้หรอก แล้วสักวันโยมจะรู้เอง เมื่อลิขิตแห่งกรรมโคจรให้ทั้งหมดมาพบกัน”
กนิษฐาหมดหวัง
“อาตมาขอให้โยมทุกคนเลิกยุ่งกับเรื่องนี้ ให้อยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะมันจะส่งผลไปถึงอนาคต ใครเคยทำกรรมอะไรไว้ก็ต้องชดใช้กรรมนั้น เหมือนอย่างไอ้มากกับหมาของมัน”
หลวงพ่อกสินมองออกไปที่ลานวัดเห็นมากนั่งอยู่ที่ม้านั่งกำลังเล่นอยู่กับหมาที่นั่งอยู่ที่พื้น
กนิษฐาสงสัย “ลุงมากกับหมาตัวนั้นเคยทำอะไรไว้คะ”
“ไอ้มากกับหมาตัวนั้น เคยผูกพันกันมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว มันเคยอุปถัมภ์กันมา ชาตินี้เลยต้องเกิดมาชดใช้กันอีก”
หลวงพ่อกสินมองออกไปที่มากอีกครั้ง แต่กลับเห็นเป็นภาพพระยาสมานนั่งอยู่บนตั่ง มีนางด้วงนั่งอยู่ที่พื้นคอยรับใช้
ครั้นมองไปอีกครั้งกลับเป็นนายมากนั่งอยู่ที่ม้านั่งมีหมาอีแด่นนั่งอยู่ที่พื้นตามเดิม
“คนกับหมาจะเกิดมาชดใช้อะไรกันได้เหรอครับ”
“กรรมไงโยม มันมีกรรมของมัน”
ตะวันฉายกับกนิษฐามองออกไปที่มาก

หลวงพ่อกสิน เห็นตะวันฉายกับกนิษฐาเดินผ่านหน้ามากไป
มากรู้ พยายามเดินตาม
หมาอีแด่นวิ่งตามมากมา เข้าไปคลอเคลียดักหน้าดักหลัง มากตัดสินใจอุ้มหมาตัวนั้นไปด้วย
หลวงพ่อกสินที่ยืนดูอยู่
“ลิขิตแห่งกรรมกำลังตามพวกโยมมาติดๆ จงเตรียมรับมือมันไว้ให้ดี”
หลวงพ่อกสินมองไปทางคนทั้งสาม สีหน้านิ่ง

ขณะที่พิมพิลาสกำลังเดินเข้ามาในบ้าน ถึงห้องโถง ป้าทิพย์เข้ามาคุย
“หนูพิมออกไปไหนมาหรือลูก”
“พิมออกไปธุระค่ะป้า”
“เดี๋ยวนี้หนูพิมดูมีความลับกับป้านะคะ” ป้าทิพย์หลุดปากพูด “เมื่อวันก่อนก็ออกไปหัดยิงปีนมา
“ป้ารู้ได้ยังไง ป้าแอบตามพิมไปเหรอ”
ป้าทิพย์สารภาพ “ใช่! หนูพิมไปหัดยังปืนทำไม เล่นกับปืนผาหน้าไม้มันอันตรายนะ”
“พิมจะทำอะไรก็เรื่องของพิม ป้าอยู่เฉย ๆ ดีกว่าค่ะ” พิมพิลาสเสียงแข็ง
ป้าทิพย์อึ้ง พูดไม่ออก พิมพิลาสเดินขึ้นบันไดไป
หญิงชรากังวลมาก กดโทรศัพท์มือถือหาภีร์ภูมิทันที
“คุณภูมิคะ”
เย็นนั้น สองคนอยู่ในห้องทำงานของภีร์ภูมิที่ไซต์งานก่อสร้าง ภีร์ภูมิตกใจหลังฟังเรื่องจบ
“พิมไปหัดยิงปืนทำไมครับป้า”
“ป้าก็ไม่รู้ แล้วยิ่งช่วงนี้หนูพิมไม่ยอมให้ใครเข้าห้องเลย เหมือนแอบอะไรไว้ ป้าได้ยินหนูพิมพูดถึงตรวนๆ อะไรสักอย่างนี่แหละ”
ภีร์ภูมิฉงนทวนคำ “ตรวน”
“ค่ะ! ป้าก็รู้นะคะว่าคุณภูมิกับหนูพิมเลิกกันแล้ว แต่ให้เห็นถึงความผูกพันที่เคยมีให้กันมา ป้าขอให้คุณภูมิไปพูดเรื่องนี้กับหนูพิมหน่อยได้ไหมคะ ขอร้องให้หนูพิมเลิกทำตัวแบบนี้ได้ไหม”

ฟังคำร้องขอของป้าทิพย์ ภีร์ภูมินิ่งงันไป

ช่วงเช้าที่บริษัทเช่าเรือ เห็นมีเรือสปีดโบ๊ทหลายลำลอยลำอยู่ริมแม่น้ำ พิมพิลาสกำลังเดินดูเรืออยู่ โดยมีพนักงานหญิงคอยตามให้บริการ

“ฉันต้องการเรือที่เร็วที่สุด” พิมพิลาสบอกท่าทีขึงขัง
“ต้องลำนี้เลยค่ะเครื่องยนต์สี่จังหวะวิ่งได้ถึงสี่สิบนอตต่อชั่วโมง มีระบบจีพีเอสนำทางในตัวค่ะ”
พิมพิลาสมองไปยังเรือลำที่พนักงานแนะนำ
“ฉันขอเช่าลำนี้”
“ได้ค่ะ คุณจะเช่าพร้อมคนขับด้วยไหมค่ะ”
“ไม่! ฉันจะขับเอง”
พนักงานอึ้งที่พิมพิลาสจะขับเรือเอง
“ค่ะ คุณจะเช่าวันไหน และจะไปไหนคะ”
พิมพิลาสไม่บอก หยิบเงินปึกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าถือ ส่งให้พนักงาน
“เดี๋ยวฉันบอกเองว่าจะใช้วันไหน เธอเตรียมเรือไว้ให้พร้อมก็แล้วกัน”
พนักงานรับเงินจากพิมพิลาส
“ค่ะ”
พิมพิลาสมองเรือเร็วลำดังกล่าวอย่างมีแผนการ

ด้านภีร์ภูมิกำลังพยายามเปิดตู้เซฟที่เก็บตรวนทองคำอยู่ในห้องพิมพิลาส
มีป้าทิพย์ยืนลุ้นอยู่ใกล้ ๆ
“ได้หรือยังคะคุณภูมิ”
“ป้าจำรหัสได้เท่านี้เหรอครับ”
“ตอนป้าเห็นหนูพิมปิดเซฟมันเป็นช่วงชุลมุนเลยเห็นแค่ไม่กี่ตัวค่ะ”
ภีร์ภูมิพยายามหมุนรหัสเปิดเซฟแต่ยังไม่ได้
“ลองใช้เลขวันเกิดของหนูพิมดูสิคะ” หญิงชราแนะ
ภีร์ภูมิลองหมุนรหัสเป็นเลขวันเกิดของพิมพิลาส ในท่าทีลุ้น ๆ แต่ก็เปิดไม่ได้
“ป้าคอยดูต้นทางไว้นะครับ”
ป้าทิพย์วิ่งมาเปิดประตูแง้มดู แต่ยังไม่เห็นว่าพิมพิลาสกลับมา ป้าทิพย์กลับมาลุ้น ให้ภีร์ภูมิเปิดต่อ
ภีร์ภูมิหมุนรหัสไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เปิดได้
ภีร์ภูมิเปิดตู้เซฟออก เห็นกล่องใส่ตรวนทองคำ ในขณะนั้นพิมพิลาสเปิดประตูห้องเข้ามาพอดี พูดถามเสียงเย็นยะเยือกมาจากทางด้านหลัง
“ทำอะไรกันคะ”
ภีร์ภูมิตกใจรีบปิดตู้เซฟทันที ขณะที่ป้าทิพย์หน้าจ๋อย
“เข้ามาทำอะไรกันในห้องพิมคะ”
พิมพิลาสมองหน้าภีร์ภูมิอย่างจับกิริยา ภีร์ภูมิแกล้งกลบเกลื่อน
“ผมมาหาพิมน่ะครับ แต่พิมไม่อยู่ผมก็กำลังจะออกไปพอดี”
“ภูมิมีธุระอะไรกับพิมเหรอคะ” พิมพิลาสจงใจเน้นเสียงในประโยคต่อมา “ถึงได้เข้ามาในห้องพิมโดยที่ไม่ได้บอกพิมก่อน”
ภีร์ภูมิอึ้งๆ นิ่งงันไป

ไม่นานต่อมา สองหนุ่มอยู่ในห้องทำงานของตะวันฉายที่แกลเลอรี่ ภีร์ภูมิยื่นรูปถ่ายพิมพิลาสให้ตะวันฉายดู
“ผู้หญิงคนนี้หรือเปล่าที่มาซื้อตรวนคุณไป”
ตะวันฉายมองดูรูป และพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง แม้จะแต่งตัวคนละสไตล์ ตะวันฉายก็บอกอย่างมั่นใจ
“ใช่! ใช่ผู้หญิงคนนี้แน่ๆ”
“คุณแน่ใจนะครับว่าใช่”
“รับรองครับคุณภูมิ ความจำของผมเรื่องผู้หญิงไม่เคยพลาด” ตะวันฉายยืนยันหนักแน่น
ภีร์ภูมิตกใจ ไม่คิดว่าจะเป็นพิมพิลาสจริงๆ

เวลาผ่านไป ภีร์ภูมิมาหาบุษบันที่บ้าน บอกเรื่องคนที่ซื้อตรวนทองคำไป
“ตกลงคนมาที่ซื้อตรวนไปคือพิม”
บุษบันได้ฟังก็ตื่นตกใจ
“จริงเหรอคะ! แล้วเขาจะเอาไปทำไม”
ภีร์ภูมิคิดก่อนบอก “ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
บุษบันกังวลไม่หาย
“หรือว่า! เรื่องในอดีตมันจะเกิดซ้ำขึ้นอีก”
ภีร์ภูมินิ่ง รู้สึกตกใจเหมือนกัน แต่ยังเก็บอาการไว้
“ฉันกลัวจังเลยค่ะคุณภูมิ”
ภีร์ภูมิใช้มือทั้งสองข้างจับไหล่ของบุษบันไว้ มองตาบุษบัน
“คุณไม่ต้องกลัวครับคุณบุษ ผมอยู่ตรงนี้แล้ว ผมจะไม่ให้ใครมาทำอะไรคุณได้”
ภีร์ภูมิค่อยๆ กอดหญิงคนรัก บุษบันนิ่งอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นของชายผู้เป็นที่รัก

แต่ในใจบุษบันยังไม่คลายกังวล

บ่วงวันวาร ตอนที่ ๑๒ อวสาน (ต่อ)

ภีร์ภูมิกับบุษบันก้าวลงจากรถ เดินคุยกันเข้ามาตามทางเดินในบ้านตะวันฉาย

“ตะวันบอกว่าช่างกุญแจโบราณคนนี้ที่มาเปิดหีบให้เก่งมากๆ คงจะเปิดได้จริงๆ ไม่งั้นคงไม่ตามเรามากะทันหันแบบนี้หรอก” บุษบันว่า
“ขอให้เปิดได้จริงๆ ทีเถอะ เราจะได้หายสงสัยกันซักที” ภีร์ภูมิบอก
“หวังว่าเจ้ากรรมนายเวรของฉันที่ลุงจรจัดคนนั้นบอกว่าเป็นผู้หญิง คงไม่ใช่คุณพิมนะคะ” บุษบันกังวลปนหนักใจ
“แต่ถ้าพิมเป็นคนเดียวกับคุณพิศ เราจะทำยังไง”
ภีร์ภูมิกับบุษบัน เริ่มใจไม่ดี

ไม่นานต่อมา ภายห้องทำงานที่บ้านตะวันฉาย ช่างกุญแจชาวจีนกำลังใช้กุญแจไขเปิดหีบหนังอยู่ สามคน ภีร์ภูมิ บุษบัน และตะวันฉาย ยืนลุ้นอยู่ข้าง ๆ
“หีบนี่มันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงต้องเปิดมันให้ได้” ตะวันฉายถาม
“ถ้าเราเปิดได้เราก็จะได้รู้ว่าคุณพิศหน้าตาเป็นยังไง”
ท้ายที่สุดช่างกุญแจก็เปิดไม่ได้
“ไม่น่าเชื่อ ทำยังไงก็เปิดไม่ได้จริงๆ เสียใจด้วยนะครับ” ช่างกุญแจหน้าไม่สู้ดี
“แล้วมีวิธีอื่นอีกไหมครับ” ภีร์ภูมิถาม
“มีทางเดียวคือต้องทำลายหีบซะ” ช่างบอก
“คงไม่ได้หรอกค่ะ เจ้าของเขาคงไม่ยอม” บุษบันว่า
ภีร์ภูมิกับบุษบันมองหน้ากัน
ตะวันฉายรู้สึกเสียหน้า หันไปกดโทรศัพท์มือถือหาใครบางคน

ขณะที่กนิษฐาอยู่ในหลุมที่ไซต์งานขุดโครงกระดูก กำลังใช้แปรงปัดโครงกระดูกมนุษย์อยู่ เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น กนิษฐารับสาย
“ค่ะ...คุณตะวัน”
ตะวันโทรมาจากแกลเลอรี่ ท่าทีฉุนเฉียว
“ไหนบอกว่าช่างของเธอเก่งนักเก่งหนายังไงล่ะ แต่สุดท้ายก็เปิดไม่ได้”
“ช่างคนนี้เก่งที่สุดแล้วนะ”
“มีช่างคนอื่นอีกไหม”
“ไม่มีแล้ว! ถ้าช่างคนนี้เปิดไม่ได้ ก็ไม่มีใครเปิดได้แล้ว”
กนิษฐาวางสาย ถอนหายใจ กลุ้มใจไปด้วย
“ช่างกุญแจมือหนึ่งยังเปิดไม่ได้ แล้วใครจะเปิดได้”
ระหว่างนั้นเสียงโทรทัศน์ที่อยู่ข้างบนดังลงมาจนกนิษฐาได้ยิน
เป็นเสียงตื่นเต้นของพิธีกรดำเนินรายการ “เราลองมาดูกันครับว่าเขาจะปลดล็อคของทุกอย่างได้จริงหรือไม่” กนิษฐาหยุดชะงัก ยืนขึ้นมองไปที่โทรทัศน์ขนาดเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ เห็นภาพในโทรทัศน์มีมือใครคนหนึ่งกำลังปลดล็อคลูกกุญแจออกจากของหลายๆ ชิ้นอยู่ เช่น กล่องเหล็ก กุญแจที่ถูกล็อค หรือแม้กระทั่งคนที่ถูกล็อคด้วยโซ่ ของทุกอย่างที่ถูกพันธนาการไว้ ถูกมือคู่นี้เปิดออกจนหมด
กนิษฐายืนดูอย่างสนใจ


ที่แท้พิธีกรชายคนนั้นกำลังสัมภาษณ์นักมายากลชื่อก้อง พิชยะ เจ้าของฉายา “เจ้าชายแห่งกุญแจ” ผู้โด่งดังอยู่ในห้องพักส่วนตัวของโรงแรมหรู และถ่ายทอดสดทางทีวี
“บุคคลที่ผมจะแนะนำให้ท่านผู้ชมได้รู้จักในวันนี้ เขามีฉายาว่า Prince of the key หนุ่มไทยที่ไปเปิดการแสดงมายากลมาแล้วทั่วโลก และวันนี้เขามาอยู่กับเราที่นี่ ขอเชิญทุกท่านพบกับคุณพิชยะครับ”
กล้องของทีมงาม แพนไปที่ใบหน้าของพิชยะ ที่แท้เขาคือ ไอ้เพียร ที่กลับชาติมาเกิด เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่เคยผูกพันมีบ่วงเวรบ่วงกรรมร่วมกันมา
“สวัสดีครับคุณพิชยะ ต้องขอต้อนรับกลับสู่ประเทศไทยอย่างเป็นทางการอีกครั้ง จากฉายาของคุณที่คนทั่วไปรู้จักดีในนาม Prince of the key ทำไมคุณถึงได้รับฉายานี้” พิธีกรยิงคำถาม
“ผมอยู่กับกุญแจมาทั้งชีวิต ไม่ว่าจะเป็นกุญแจแบบไหน ผมสามารถไขได้ทุกอย่าง ผมนี่แหละครับ The key ตัวจริง” พิชยะตอบ
“คุณไม่ได้กลับมาเมืองไทยนานแล้ว ไม่ทราบว่าครั้งนี้คุณแค่กลับมาเยี่ยมบ้าน หรือมาทำอะไรด้วยครับ”
“ผมบอกไม่ถูกเหมือนกันครับ มันเหมือนมีอะไรบางอย่างเรียกร้องให้ผมกลับมา” พิชยะว่า
พิธีกรทำหน้าทึ่ง อยากรู้ “อะไรเรียกร้องให้คุณกลับมา”
พิชยะพูดตอบเป็นนัย “อะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับงานของผม”
พิชยะจับที่กุญแจทองคำที่คอ พิธีกรพยักหน้ารับรู้ มองพิชยะที่หน้าตาจริงจังมาก

เวลาผ่านไปอีกสักระยะ กนิษฐาพาตัวเองมาอยู่ในโรงแรมที่พิชยะพักอยู่ ตรงเข้ามาที่พนักงานต้อนรับ
“ดิฉันมาขอพบคุณพิชยะค่ะ”
พนักงานต้อนรับมองหน้ากนิษฐา
“นัดไว้หรือเปล่าคะ”
กนิษฐาบอกตามตรง “เปล่าค่ะ”
“คุณพิชยะกำลังออกกำลังกายอยู่ค่ะ สั่งห้ามไม่ให้ใครรบกวน”
กนิษฐาเซ็ง และเดินออกจากเคาน์เตอร์รีเซพชั่นไป

ภายในห้องออกกำลังกายในฟิตเนสของโรงแรม พิชยะเปลือยท่อนบน สวมใส่กางเกงขายาวรัดรูปตัวเดียว กำลังฝึกเล่นโยคะบิน หรือ Anti-Gravity Yoga พิชยะเล่นไปเรื่อยๆ ให้เห็นถึงความแข็งแรงของร่ายกาย เหงื่อออกโทรมกายดูเซ็กซี่
จังหวะต่อมาพิชยะใช้แขนที่แข็งแกร่งโหนผ้าไปมา กุญแจทองคำที่คอแกว่งไปมาตามการเคลื่อนไหว

ขณะเดียวกันกนิษฐาเดินมาที่บริเวณห้องออกกำลังกาย มองหาพิชยะไม่เห็น สายตากนิษฐาเหลือบไปเห็นห้องโยคะ

กนิษฐาหยุดยืนมองไปเห็นพิชยะกำลังเล่นโยคะอยู่ในห้องนั้น

กนิษฐาค่อยๆ เปิดประตูห้องเข้ามา เห็นพิชยะกำลังเล่นโยคะบินอยู่ กนิษฐายืนตะลึงมองการเล่นโยคะของพิชยะตาไม่กระพริบ พิชยะหันมาเห็นกนิษฐาจึงชะงักหยุดเล่น

กนิษฐาคิดว่าตัวเองเสียมารยาท จะเดินออกจากห้อง แต่พิชยะมาขวางไว้ก่อน
“คุณเป็นใคร เข้ามาในนี้ได้ยังไง”
กนิษฐาแนะนำตัว “ฉันชื่อกนิษฐา เรียกว่านิดก็ได้”
พิชยะเดินเข้ามาประชิดใกล้กนิษฐา
“คุณต้องการอะไร”
พิชยะจ้องมองเข้าไปในดวงตากนิษฐา อย่างถือดี
“คนที่มาหาผม ถ้าไม่ต้องการกุญแจของผม ก็ต้องการตัวผม”
พิชยะจ้องตากนิษฐา ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้กนิษฐาอีก กนิษฐาพยายามเดินถดตัวถอยหลัง แต่สะดุดขาตัวเองจะล้มลง พิชยะเข้าไปประคองได้ทัน ทั้งคู่สบตากันกนิษฐาเขินหน้าแดง ใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ
กนิษฐาสลัดตัวเองออกจากอ้อมกอดของพิชยะ
“ฉันต้องการให้คุณไปเปิดของให้อย่างนึง”
“ของอะไร”
“หีบโบราณสมัยรัชกาลที่ ๕”
พิชยะนิ่งคิดสะกิดหูกับคำว่า “สมัยรัชกาลที่ ๕” พิชยะใช้มือจับกุญแจทองคำที่คอ
“สมัยรัชกาลที่ ๕ หีบอะไร? ลักษณะเป็นยังไง”
“มันเป็นหีบหนัง ตัวล็อคทำจากเหล็ก” กนิษฐาบอก
พิชยะมีสีหน้าผิดหวังจึงปฏิเสธ
“ผมไม่ว่าง”
พิชยะกำลังจะเดินออกไป
กนิษฐาพูดไล่หลังอย่างท้าทาย “ฉันว่าคุณเปิดไม่ได้มากกว่า”
พิชยะหันมามองกนิษฐา
“คนอย่างผม ถ้าอยากจะเปิดอะไร ใครก็หยุดผมไม่อยู่”
พิชยะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้กนิษฐายืนอยู่อย่าง อึ้งๆ งงๆ กับคำพูดนั้น

คืนนั้นพิชยะยืนอยู่ที่ระเบียงห้อง มือจับกุญแจทองคำที่คอ คิดถึงตอนที่ได้กุญแจทองคำมาใหม่ๆ จากอาจารย์ของเขา
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในห้องพักของอาจารย์ เป็นห้องขนาดเล็ก ดูลึกลับ มีชั้นไม้เก่าๆ หลายชั้น วางกุญแจหลายๆ แบบ หลายๆ ขนาดเรียงรายอยู่ตามมุมต่างๆ ของห้อง
อาจารย์วัยชรา ผมขาวยาว ถือกุญแจดอกหนึ่งในมือ เป็นกุญแจที่ทำมาจากทองคำ
เวลานั้นพิชยะเพิ่งจะสำเร็จวิชามายากลใหม่ๆ เดินเข้ามาในห้องของอาจารย์
อาจารย์หันมาหาพิชยะ
“ฉันไม่มีอะไรจะสอนเธอแล้ว ทุกอย่างที่ฉันรู้ ฉันถ่ายทอดวิชาให้เธอหมดแล้ว”
อาจารย์ยื่นกุญแจทองคำให้ตรงหน้า พิชยะรับกุญแจไว้
“กุญแจทองคำ”
“ใช่! มันเป็นกุญแจในสมัยรัชกาลที่ ๕ ฉันให้เธอ”
พิชยะมองกุญแจทองคำในมือ งุนงง
“เธอสมควรมีมันไว้ เธอเท่านั้นที่คู่ควรกับมัน” อาจารย์ย้ำ
“ผมไม่เข้าใจครับ”
“แล้วซักวันหนึ่ง เธอจะรู้ กุญแจดอกนี้จะพาเธอไปพบกับอะไรบางอย่าง” อาจารย์ทิ้งปริศนาไว้

พิชยะก้มมองกุญแจทองคำที่คอ ขณะดึงตัวเองออกจากห้วงคำนึง
“ฉันอยากรู้จริง ๆ ว่าแกจะพาฉันไปพบกับอะไร”
พิชยะมองกุญแจทองคำนิ่งและนาน

เช้าวันต่อมา ที่บ้านพิมพิลาส เสียงโทรศัพท์บ้าน ดังขึ้นในห้องโถง สักครู่ป้าทิพย์เดินมารับสาย
“สวัสดีค่ะ...คุณภูมิเหรอคะ”
ภีร์ภูมิโทรมาจากห้องทำงาน
“ป้าครับ ผมอยากถามอะไรหน่อย พิมยังเก็บตรวนไว้อยู่หรือเปล่าครับ”
“ทำไมเหรอคะ คุณภูมิถามถึงตรวนนั่นทำไม”
พิมพิลาสเดินลงมา ได้ยินป้าทิพย์พูดถึงตรวนพอดี เลยหยุดแอบฟัง
“หนูพิมยังไม่ได้เอาตรวนออกไปไหนค่ะ คุณภูมิมีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ผมแค่กลัวว่าพิมจะเอาตรวนไปทำอะไรไม่ดี ไม่ดี น่ะครับ ยังไงผมก็ฝากป้าช่วยดูพิมให้ด้วย ถ้าเห็นพิมเอาตรวนออกไปไหนช่วยบอกผมด้วยครับ”
“ได้ค่ะ ป้าจะเฝ้าตรวนเอาไว้ ไม่ให้คาดสายตาเลยค่ะ”
ป้าทิพย์วางสาย พิมพิลาสรีบเดินกลับไปที่ห้องตัวเอง

พิมพิลาสเข้ามาในห้อง กังวลกับเรื่องที่ได้ยิน
พึมพำกับตัวเอง “ภูมิถามถึงตรวนทำไม”
จังหวะนั้นเอง พิศปรากฏขึ้นที่กระจก
“กลัวใช่ไหมล่ะ” พิศขู่ “มันถามถึงตรวนเพราะมันรู้แล้วไง ว่าเอ็งเคยใช้ตรวนฆ่ามัน มันก็จะเอาตรวนกลับมาฆ่าเอ็งน่ะสิ”
พิมพิลาสกลัว
“ภูมิจะฆ่าฉันจริงๆ เหรอ แล้วฉันจะทำยังไง”
“ฆ่ามันซะ ก่อนที่มันจะฆ่าเอ็ง”

พิมพิลาสนิ่งมองไปที่กระจกอีกครั้งหนึ่ง เห็นพิศยิ้มมา และพยักหน้าให้

[ต่อจากตอนที่แล้ว]
 
เวลาผ่านไป พิมพิลาสหยิบชุดหนังสีดำออกมาจากตู้เสื้อผ้า มองที่ชุดหนังสีดำนั้น ค่อย ๆ บรรจงแต่งตัวทีละชิ้นๆ

พิมพิลาสแต่งตัวเสร็จ อยู่ชุดหนังสีดำ แขนยาว ขายาว ใส่ถุงมือหนัง ดูรัดกุม ทะมัดทะแมง
ครู่ต่อมาพิมพิลาสเดินไปเปิดตู้เซฟ หยิบกระเป๋าใส่ตรวนทองคำออกมา เปิดดู เอื้อมมือไปจับตรวน หยุดคิดใคร่ครวญ

ขณะที่ป้าทิพย์เดินคิดเรื่องพิมพิลาสวนไปวนมาอยู่ที่โถงในบ้าน เห็นพิมพิลาสเดินลงบันไดมา
พิมพิลาสถือกระเป๋าใบใหญ่ลงมาด้วย และในกระเป๋ามีตรวนทองคำ แต่เปลี่ยนกล่องใหม่ พิมพิลาสเห็นป้าทิพย์ ก็ตกใจ
ป้าทิพย์เดินเข้าไปหาพิมพิลาส
“หนูพิมจะไปไหนคะ”
“พิมจะไปพักผ่อนที่ต่างจังหวัดซักระยะนึงค่ะ”
“หนูพิมจะไปคนเดียวได้ยังไงคะ เดี๋ยวเจ็บป่วยเป็นอะไรขึ้นมาใครจะดูแล ป้าไปด้วยค่ะ”
“ไม่ต้องค่ะ! พิมดูแลตัวเองได้ ป้าไม่ต้องเป็นห่วง”
พิมพิลาสเดินออกจากบ้านไป
ป้าทิพย์สงสัยการกระทำของพิมพิลาสรีบกดโทรศัพท์หารือกับภีร์ภูมิ

พอรู้เรื่องภีร์ภูมิก็ตกใจ
“พิมไปต่างจังหวัดเหรอครับ แล้วเอาตรวนไปด้วยหรือเปล่า”
“เดี๋ยวป้าไปดูให้ค่ะ”
หญิงสูงวัยรีบเดินขึ้นไปชั้นบน

ภีร์ภูมิรอสายอยู่ด้วยความกระวนกระวายใจ
“ว่ายังไงครับป้า”
ป้าทิพย์อยู่หน้าตู้เซฟในห้องพิมพิลาสที่เปิดแล้ว เห็นกล่องตรวนยังอยู่ที่เดิม แต่ไม่ได้ฉุกคิดดูด้านใน ป้าทิพย์โล่งใจ
“ตรวนยังอยู่ในเซฟค่ะ”
“โอเคครับ แต่ถ้ามีอะไรผิดปกติ ป้าโทรมาบอกผมเลยนะครับ”
ภีร์ภูมิวางสาย

กนิษฐาไม่ละความพยายาม มานั่งรอพิชยะอยู่ที่ล็อบบี้
เสียงโทรศัพท์มือถือของกนิษฐาดังขึ้น กนิษฐาเห็นเป็นชื่อ “ตะวัน” จึงกดรับ
“ค่ะ คุณตะวัน”
ตะวันฉายโทร.มาจากบ้าน น้ำเสียงฟังออกว่าร้อนใจมาก
“เธออยู่ที่ไหน”
“ฉันอยู่ที่โรงแรม กำลังรอคุณพิชยะอยู่ มีอะไรเหรอ”
“เพื่อนฉันส่งกล้องถ่ายอินฟาเรดมาให้แล้ว เผื่อว่าเราเปิดหีบไม่ได้ จะได้เอามาส่องดู ฉันเลยจะให้เธอแวะไปเอาที่แกลเลอรี่”
“ไม่ได้! คุณพิชยะจะเดินทางออกจากประเทศไทยวันนี้แล้ว ถ้าฉันกลับมาไม่ทันแย่เลยนะ”
“งั้นไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจัดการเอง เธอรอคุณพิชยะไปเถอะ”
ตะวันฉายวางสายไป

ตะวันฉายอยู่ในห้องทำงานที่บ้านเพิ่งวางสายจากกนิษฐา
“ยัยนิดเฝ้าคุณพิชยะอยู่ ไม่ว่างครับ เดี๋ยวผมจะไปเอากล้องเอง ผมฝากคุณภูมิดูบ้านให้ด้วยนะครับ”
“กล้องอยู่ที่ไหนครับ”
“อยู่ที่แกลเลอรี่”
“ไม่เป็นอะไรครับ บุษกำลังจะมา เดี๋ยวผมโทร.บอกให้บุษแวะเอามาให้ก็ได้”
ภีร์ภูมิเดินออกไปโทรศัพท์หาบุษบัน

บุษบันหยิบกระเป๋า หยิบกุญแจรถ เตรียมตัวออกจากบ้าน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น บุษบันรับสาย
“เป็นไงมั่งคุณภูมิ คุณนิดพาคนมาเปิดได้หรือยัง”
“ยังไม่มาเลยครับ ไม่รู้ว่าเขาจะยอมมาหรือเปล่า แต่ถ้าไม่มา คุณตะวันจะเอากล้องอินฟาเรดมาส่องดู ผมเลยโทรมาบอกบุษ ให้ช่วยแวะไปเอากล้องที่แกลเลอรี่ให้หน่อย”
“ได้ ๆ เดี๋ยวฉันไปเอาแล้วจะรีบไป”
บุษบันกดวางสาย โดยไม่รู้ว่าที่หน้าบ้านเวลานั้น พิมพิลาสแอบซุ่มดูบุษบัน จับตามองบุษบันอยู่ทุกการกระทำ
บุษบันออกมาจากบ้าน เดินไปที่รถ ก้าวขึ้นรถ แล้วขับออกไป
พิมพิลาสมองตามรถบุษบันแล่นออกไป รีบขับรถตามไป

ภีร์ภูมินั่งลง กดโทรศัพท์หาพิมพิลาส แต่เป็นเสียงตัดสาย ภีร์ภูมิกังวลใจไม่ดี รู้สึกสังหรณ์อะไรขึ้นมา
ตะวันฉายที่อยู่ข้าง ๆ สังเกตเห็น
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ป้าทิพย์บอกว่าพิมไปต่างจังหวัดคนเดียว ผมแปลกใจ ปกติพิมไม่เคยเป็นแบบนี้” ภีร์ภูมิบอกเรื่องที่ไม่สบายใจ
“คุณสงสัยอะไรคุณพิมเหรอครับ”
“ผมกลัวว่าพิมคิดจะทำอะไรไม่ดี แต่ขออย่าให้เป็นอย่างที่ผมคิดเลย”
ภีร์ภูมิดูเป็นกังวลมาก

พิมพิลาสกำลังขับรถตามบุษบันอยู่ แววตา สีหน้ามุ่งมั่น โทรศัพท์มือถือของพิมพิลาสดังขึ้นอีก
พิมพิลาสเห็นเป็นชื่อ “ภีร์ภูมิ” จึงกดตัดสายทิ้ง

ไม่นานต่อมาภีร์ภูมิโทร.หาป้าทิพย์ สองคนกำลังคุยสาย ภีร์ภูมิเล่าที่พิมพิลาสไม่ยอมรับสายตนให้ฟัง

“แปลก! ไม่ยอมรับสายคุณภูมิด้วยเหรอคะ”
“ครับ ปกติพิมไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนะครับ ป้ารู้ไหมว่าพิมไปที่ไหน”
“ไม่ทราบค่ะ แต่วันนี้ป้าเห็นหนูพิมแต่งตัวแปลกๆ หิ้วกระเป๋าใบใหญ่ๆ ออกไป แต่ไม่ได้บอกว่าจะไปที่ไหน”
ภีร์ภูมิเอะใจเรื่องกระเป๋า
“ป้าลองไปดูตรวนอีกครั้งได้ไหมครับว่าอยู่แน่ ๆ หรือเปล่า”
ป้าทิพย์รีบรับคำ “ได้ค่ะ”
ป้าทิพย์รีบขึ้นไปที่ห้องของพิมพิลาส

ป้าทิพย์เดินเข้ามาในห้องนอนของพิมพิลาส ยังถือสายของภีร์ภูมิอยู่ตรงไปที่ตู้เซฟ เปิดออกเห็นกล่องใส่ตรวนยังอยู่

“ตรวนยังอยู่เหมือนเดิมค่ะ”
“ป้าแน่ใจนะครับ”
“แต่เดี๋ยวป้าลองเปิดดูให้ชัวร์ๆ ก็ได้ค่ะ”
ป้าทิพย์หยิบกล่องใส่ตรวนออกมา แล้วเปิดกล่อง เห็นแต่ความว่างเปล่าไม่มีตรวน ป้าทิพย์ตกใจ
“คุณภูมิ! แย่แล้วค่ะ ตรวน...ไม่อยู่แล้ว”
ภีร์ภูมิตกใจรีบวางสาย หันมาบอกตะวันฉายอย่างร้อนใจ
“คุณตะวัน ตอนนี้พิมเอาตรวนออกไปไหนก็ไม่รู้ครับ”

ตะวันฉายได้ฟังก็ตกใจ

บ่วงวันวาร ตอนที่ ๑๒ อวสาน (ต่อ)

บุษบันกำลังขับรถอยู่ท่าทีร้อนใจอยากให้ไปถึงแกลเลอรี่เร็วๆ รถพิมพิลาสขับตามมา พิมพิลาสมองตรงไปยังรถบุษบันที่อยู่เบื้องหน้าไม่ให้คลาดสายตา

ฝ่ายกนิษฐาเริ่มนั่งไม่ติดเก้าอี้ รอพิชยะอยู่ที่ล็อบบี้โรงแรมนานแล้ว
สักครู่พนักงานขนกระเป๋าของโรงแรม เข็นกระเป๋าของพิชยะเดินออกมา
กนิษฐาเห็นพิชยะในชุดสูทสีขาวเดินตามมาพร้อมกับบอดี้การ์ดคอยคุ้มกัน จึงตะโกนเรียก
“คุณพิชยะ! คุณพิชยะ”
พิชยะได้ยินหันมาทางเสียงเรียก เห็นกนิษฐาวิ่งเข้ามาหา แต่ถูกบอดี้การ์ดกันไว้
“คุณอีกแล้วเหรอ ต้องการอะไรอีกล่ะ”
พิชยะเดินต่อไป กนิษฐาเดินตาม
“ฉันขอร้องล่ะค่ะคุณพิชยะ ช่วยไปเปิดหีบให้ฉันหน่อย แค่หีบใบเดียวเอง ไม่ทำให้คุณเสียเวลานักหรอก”
“ผมต้องไปแล้ว ผมไม่มีเวลา”
กนิษฐาอ้อนวอน “แต่มันสำคัญจริง ๆ นะคะ มันสำคัญมาก”
พิชยะหยุดเดิน หันมาหา
“ข้างในหีบใบนั้นมันมีอะไร”
“มีรูปของผู้หญิงคนหนึ่ง”
พิชยะส่ายศีรษะ เหมือนผิดหวัง ไม่สนใจ เดินต่อไป
กนิษฐาตะโกนก้อง “ผู้หญิงคนนั้น ในอดีตเคยฆ่าเพื่อนฉันด้วยตรวนทองคำ”
พิชยะหยุดนิ่ง หันมา ทวนคำ
“ตรวนทองคำเหรอ!”
พิชยะสังหรณ์ใจจับกุญแจทองคำที่คอ

เวลาผ่านไป ที่บริเวณหน้าแกลอรี่ตะวันฉาย มากกำลังจับเห็บจับหมัดให้อีแด่น ซึ่งอีแด่นยอมให้นายมากหาเห็บหาหมัดให้แต่โดยดี
“อยู่เฉย ๆ สิ เห็บมันจะกินเลือดเอ็งหมดตัวแล้ว ข้าจะเอาออกให้”
อีแด่นเลียอ้อนนายมาก
ระหว่างนั้นบุษบันขับรถเข้ามาจอดที่หน้าแกลอรี่ตะวัน นายมากได้ยินเสียงรถจอด
“รถใคร? วันนี้วันหยุดไม่ใช่เหรอ ใครมา? ไม่เกี่ยวกับเรา มาหาต่อดีกว่า”
นายมากหาเห็บให้อีแด่นต่อไป
บุษบันลงจากรถเดินเข้าไปในแกลอรี่
พิมพิลาสขับรถตามเข้ามาจอดแอบๆ ที่ด้านข้างแกลอรี่
นายมากได้ยินเสียงรถ จำได้ว่าเป็นเสียงรถของพิมพิลาส นายมากตกใจ ท่าทีหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“เสียงรถคุณหนูคนนั้นนิ”
จู่ๆ อีแด่นก็เห่า และจะวิ่งไป นายมากคว้าตัวไว้ได้ทัน
“เอ็งว่าใช่คุณหนูคนนั้นไหม” มากถาม
อีแด่นเห่าตอบ ราวกับรู้เรื่องกัน
“ฉันว่าใช่! คุณหนูมาที่นี่”
อีแด่นยังเห่าไม่เลิก
“อย่าเห่าเดี๋ยวเขาได้ยิน”
มากพยายามให้มือปิดปากอีแด่น อีแด่นหยุดเห่า

บุษบันไขกุญแจเปิดประตูเข้ามาในแกลอรี่ มองหากล่องใส่กล้องอินฟาเรด แต่ไม่เห็น บุษบันจึงเดินไปดูรอบๆ แต่ก็ไม่เห็น บุษบันเดินเลยขึ้นไปที่ชั้นบน

บุษบันจะเปิดประตูห้องทำงานตะวันฉาย แต่ประตูล็อค บุษบันเห็นกล่องอะไรบางอย่างวางอยู่บนโต๊ะมุมห้อง จึงเดินไปดู
เห็นเป็นกล่องพัสดุ และมีกระดาษเขียนโน้ตติดไว้ว่า “ส่งคุณตะวัน ด่วน”
บุษบันจะจับกล่อง แต่เสียงโทรศัพท์ดังขัดขึ้น บุษบันกดรับ
เป็นสายจากภีร์ภูมิ มีตะวันฉายคอยฟังอยู่ด้วย
“ได้หรือยังครับบุษ”
“เจอพอดีเลยค่ะ”
“ผมไม่สบายใจเลย บุษรีบๆ กลับมานะครับ”
น้ำเสียงภีร์ภูมิดูร้อนรนมาก จนบุษบันแปลกใจ
“ทำไมเหรอคะ”
“เมื่อกี๊ผมโทร.ไปที่บ้านพิม ป้าทิพย์บอกว่าพิมเอาตรวนออกไปจากบ้านแล้ว”
บุษบันฟังแล้วตกใจ
ในระหว่างนั้น ไฟดับพรึ่บลงพอดี
บุษบันตกใจร้อง “อุ๊ย”
พร้อมกันนั้นบุษบันเหลียวมองไปรอบๆ
ภีร์ภูมิสงสัย “มีอะไรบุษ”
“ไฟดับค่ะ แค่นี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันไปเปิดไฟก่อน”
บุษบันวางสาย แววตาระแวง มองไปรอบๆ ตัว อย่างระวัง

บุษบันค่อยๆ เดินมาที่ห้องคัทเอาท์ ในมือถือกล่องใส่กล้องอินฟาเรดมาด้วย
บุษบันค่อยๆ หาคัทเอาท์ตัวที่ทำให้ไฟดับ บุษบันหาไปเรื่อยๆ เห็นคัทเอาท์ตัวหนึ่งคันโยกสับลง บุษบันเอื้อมมือไปสับคันโยกนั้นขึ้น
ไฟสว่างขึ้น บุษบันหันหลังมา เห็นพิมพิลาสยืนหน้าบึ้งอยู่ บุษบันตกใจแทบช็อค
“คุณพิม”
พิมพิลาสยืนประจันหน้ากับบุษบันไม่พูดไม่จา บุษบันทำใจดีสู้เสือ
“คุณเข้ามาที่นี่ได้ยังไง”
พิมพิลาสค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้บุษบัน บอกนิ่งๆ
“ฉันตามเธอมา”
พิมพิลาสค่อย ๆ ก้าวเดินเข้าไปหาบุษบัน ขณะที่บุษบันค่อยๆ เดินถอยหลังห่างออกมา
“คุณต้องการอะไร”
“ฉันจะมาบอกเรื่องที่เธออยากรู้”
บุษบันฉงน “เรื่องอะไร?”
“ตรวนทองคำ!”
“คุณได้มันไปแล้วไม่ใช่เหรอ คุณจะเอามันไปทำอะไร”
“ตามฉันมาสิ แล้วฉันจะบอก”
บุษบันนิ่งคิดตัดสินใจ พิมพิลาสมอง รอคำตอบ
บุษบันดูท่าทีพิมพิลาสแล้วไม่ไว้ใจ จึงบอกปฏิเสธ
“ฉันมีธุระ ต้องรีบเอากล่องนี่ไปบ้านตะวัน ฉันขอตัวก่อนนะ”
พูดจบบุษบันพยายามจะเดินหนี พิมพิลาสหยิบปืนออกมาจากกระเป๋าถือ ปลายกระบอกใส่ที่เก็บเสียงเรียบร้อยแล้ว ยกขึ้นขู่บุษบัน
“หยุด”
บุษบันหันมาเห็นปืน ก็ตกใจ นิ่งอึ้ง
“วางกล่องนั่นลง แล้วไปกับฉัน”
พิมพิลาสค่อยๆ เดินเข้าไปหาบุษบัน
บุษบันทำท่าจะวางกล่อง แต่แล้วก็เอากล่องใส่กล้องอินฟาเรดโยนใส่พิมพิลาส และฉวยฏอกาสนั้นวิ่งหนีไป

บุษบันตกใจ วิ่งหน้าตาตื่นมาตามทางในแกลเลอรี่ มีพิมพิลาสวิ่งตามมาติดๆ บุษบันวิ่งผ่านห้องต่างๆ ลงบันไดมาชั้นล่าง

พิมพิลาสยังตามมาไม่ลดละ

บุษบันวิ่งมาตามทางแล้วเห็นห้องๆ หนึ่ง รีบเปิดประตูเข้าไปในห้องนั้น พิมพิลาสตามมา แปลกใจที่เห็นว่าบุษบันหายไป พยายามเพ่งสายตามองหา

ภายในห้องที่แอบอยู่เป็นห้องมืดๆ บุษบันแอบดูพิมพิลาส ใจเต้นรัวแรง
โชคร้ายเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น บุษบันรีบกดปิดทันที
พิมพิลาสได้ยินเสียงโทรศัพท์ รู้ทันทีว่าบุษบันอยู่ในห้องนั้น
บุษบันแอบดูเห็นพิมพิลาสกำลังเดินตรงมาที่ห้อง บุษบันรีบวิ่งหาทางออก และเปิดประตูวิ่งออกไป
พิมพิลาสเดินมาถึงหน้าห้อง เปิดประตูห้อง แต่ไม่เห็นอะไร เพราะห้องยังมืดอยู่ พิมพิลาสหันไปเห็นประตูอีกด้านหนึ่งเปิดอยู่ จึงเดินตรงเข้าไป

ฝ่ายภีร์ภูมิพยายามโทร.ติดต่อบุษบัน แต่ติดต่อไม่ได้ ภีร์ภูมิยิ่งร้อนใจ
“ทำไมบุษปิดเครื่อง เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า เมื่อกี๊ก็ไฟดับ ผมว่าเราไปดูที่แกลเลอรี่กันไหมครับ”
“ครับ”
ขณะที่ภีร์ภูมิกับตะวันฉายกำลังจะเดินไป ก็เห็นกนิษฐาเดินมาพอดี
“มาแล้วเหรอยัยนิด”
“ฉันพาเขามาแล้ว”
พิชยะที่ยืนอยู่หลังกนิษฐาอย่างสง่างาม

กนิษฐาพาพิชยะไปที่หีบหนังในห้องทำงานตะวันฉาย
“หีบใบนี้ค่ะที่ฉันจะให้คุณช่วยเปิด”
พิชยะค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ๆ ที่หีบหนัง ยืนมองพิจารณาหีบที่วางอยู่ตรงหน้า ภีร์ภูมิ กนิษฐา และตะวันฉายยืนอยู่ด้วยกัน
ตะวันถามกับกนิษฐา “เธอพาเขามาได้ยังไง”
“ฉันเล่าเรื่องตรวนให้เขาฟัง”
ภีร์ภูมิยิ้มแย้มแสดงอาการดีใจอย่างเห็นได้ชัด
“คนนี้เหรอครับที่จะมาเปิดให้”
“ใช่” ตะวันฉายบอก
ภีร์ภูมิมั่นใจว่าชายคนนี้จะเปิดได้
ตะวันกระซิบกับกนิษฐา “แล้วเขาจะเปิดได้จริงเหรอ”
“เดี๋ยวเราก็รู้” นักโบราณคดีมาดเท่บอก

ระหว่างนั้นพิชยะมองหีบหนังอย่างพิจารณา
บุษบันวิ่งเข้ามาหลบอยู่ในห้องมืดๆ ห้องหนึ่ง เป็นห้องเก็บอาวุธใช้งานของแกลเลอรี่
พิมพิลาสเดินตามมา เปิดประตูห้องเข้าไป แต่มองไม่เห็นมีแต่ความมืด

ฟากพิชยะค่อยๆ เอื้อมมือทั้งสองข้างไปสัมผัสฝาหีบ หลับตานิ่ง พยายามใช้อำนาจ พลังจิตของตัวเองหาวิธีไขล็อคหีบ
ภีร์ภูมิ กนิษฐา และตะวันฉายดูอยู่อย่างจดจ่อ
ตะวันกระซิบกับกนิษฐา “ท่าทางจะไม่เวิร์คนะยัยนิด”
กนิษฐาหมั่นไส้เอาศอกกระทุ้งเอวตะวัน ภีร์ภูมิกับกนิษฐาลุ้นๆ ให้กำลังใจพิชยะ

พิชยะลืมตา ละมือจากหีบ หยิบซองกุญแจออกมาจากกระเป๋าใบใหญ่ เปิดซองออก เห็นกุญแจประมาณ 20 ดอก มีขนาดต่าง ๆ กัน วางเรียงรายอยู่
พิชยะใช้มือลูบกุญแจตั้งแต่ดอกแรกถึงดอกสุดท้ายอย่างช้าๆ ทุกคนมองอย่างลุ้นระทึก
พิชยะหยิบกุญแจดอกหนึ่งขึ้นมา ไขเปิดหีบอย่างรวดเร็ว ในที่สุดเสียงปลอดล็อคจากหีบก็ดังขึ้น
ทุกคนดีใจ โดยเฉพาะกนิษฐา
พิชยะเปิดหีบหนังใบนั้น ทุกคนจะเข้ามาดู พิชยะรีบปิดหีบลงทันที
“ที่ผมยอมมาช่วยคุณ เพราะผมอยากเห็นตรวนทองคำ ไหนล่ะตรวนทองคำที่คุณพูด”
“ตอนนี้ตรวนไม่ได้อยู่ที่นี่” กนิษฐาบอก
ภีร์ภูมิ ตะวันฉาย และกนิษฐา มองหน้ากัน อึ้งๆ ไป
“แล้วอยู่ที่ไหน” พิชยะถาม
“ผมขอดูรูปของผู้หญิงในหีบนี้ก่อน ผมอาจจะตอบคุณได้”
พิชยะมองหน้าภีร์ภูมิชั่งใจว่าจะเชื่อดีไหม

ฟากบุษบันยังคงหลบอยู่ในห้องเก็บอาวุธ พิมพิลาสพยายามเพ่งสายตามองหา
“ฉันรู้นะว่าเธออยู่ในนี้ จะออกมาดี ๆ หรือจะให้ฉันยิง”
บุษบันเงียบ จังหวะนั้นพิมพิลาสเห็นเงาของบุษบันที่หลบอยู่มุมหนึ่งทอดออกมา
พิมพิลาสมองหาสวิทช์ไฟ แล้วกดเปิดไฟ
ไฟสว่างพรึ่บขึ้น พิมพิลาสกำลังจะยิง แต่แล้วพิมพิลาสก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นว่าภายในห้องเป็นห้องเก็บอาวุธมีคม มีทั้ง หอก ดาบ ธนู ของ้าว มีดสั้น วางระเกะระกะไม่เป็นระเบียบ
พิมพิลาสกลัว ชะงักกึก
บุษบันแอบดูอยู่ มองตามสายตาตื่นกลัวของพิมพิลาสเห็นอาวุธให้ห้อง และเห็นอาการของพิมพิลาส

หีบถูกเปิดออกแล้ว ของที่อยู่ในหีบถูกนำมาวางไว้ข้างนอก เช่น หนังสือ แจกัน กล่องยาสูบ เครื่องแก้ว
ภีร์ภูมิ ตะวัน และกนิษฐากำลังมุงดูของกันอยู่ โดยพิชยะยืนกอดอกนิ่งๆ อยู่ห่าง ๆ
ภีร์ภูมิค่อยๆ หยิบรูปใบหนึ่งขึ้นมา มีฝุ่นเกาะที่รูปเห็นรางๆ ว่าเป็นรูปผู้หญิง ภีร์ภูมิใช้มือค่อยๆ ปัดฝุ่นออก เห็นรูปพิศในชุดแต่งกายสมัย ร. ๕ มีใบหน้าเหมือนพิมพิลาส ราวกับเป็นคนเดียวกัน
ภีร์ภูมิหยุดนิ่ง อึ้งไป ส่วนตะวันฉายกับกนิษฐาดูรูปแล้วตกใจ
“เหลือเชื่อจริง ๆ คุณพิศหน้าเหมือนคุณพิมมากๆ”
“มันก็คงเหมือนกับที่ฉันหน้าเหมือนปู่ฉาย ถ้ายังงั้นก็แสดงว่าคุณพิศกลับชาติมาเกิดเป็นคุณพิมเหมือนกัน”
ภีร์ภูมินิ่งอึ้ง พูดไม่ออก
“แสดงว่าคุณพิมคือคนที่ฆ่าคุณภูมิกับคุณบุษเมื่อชาติที่แล้ว” กนิษฐาพูดอย่างตื่นเต้น
ภีร์ภูมิตกใจ
“แล้วคุณคิดว่าตอนนี้คุณพิมจะเอาตรวนไปทำอะไร” ตะวันฉายสงสัย
พิชยะที่นิ่งฟังอยู่นาน ประมวลเหตุการณ์ และคิดอะไรขึ้นมาได้ ค่อยๆ พูดออกมาเนิบช้า
“ทุกอย่างมันมีที่มาที่ไป และตอนนี้เรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นจะกลับมาสู่ที่เดิมอีกครั้ง”
ภีร์ภูมิตกใจ นึกถึงบุษบันขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
“บุษ!”

ภีร์ภูมิรีบวิ่งออกไปทันที

[ต่อจากตอนที่แล้ว]

ฝ่ายบุษบันยังแอบอยู่อย่างลุ้นระทึก กลัวพิมพิลาสเห็น พิมพิลาสมองหาบุษบัน พอจะก้าวเท้าเดินก็กลัวสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

บุษบันจดสายตามอง และสังเกตพฤติกรรมของพิมพิลาสอยู่โดยตลอด
“ถ้าไม่ออกมา ฉันยิงจริงๆ แล้วนะ”
พิมพิลาสขู่ตัดสินใจใช้ปืนยิงไปตรงจุดที่คิดว่าบุษบันอยู่ ลูกกระสุนยิงออกไปหลายนัด ถูกอาวุธต่างๆ ในห้องเสียงดีงเปรี้ยงปร้าง
พิมพิลาสหยุด คิดว่าบุษบันถูกยิงแล้ว เลยเดินเข้าไปดู
พิมพิลาสมีท่าที กล้า ๆ กลัว ๆ ขณะเดินผ่านอาวุธแหลมคมต่างๆ พยายามหลบคมหอกที่ยื่นออกมาขวางทาง จนผ่านมาได้ ต่อมาพิมพิลาสต้องข้ามมีดที่หงายคมขึ้นมา เธอก้าวไปอย่างช้าๆ
ระหว่างที่พิมพิลาสกำลังเดินผ่านมีดแหลมคมอยู่นั้น บุษบันก็โผล่ออกมาพอดี ถามเสียงเข้ม
“คุณกลัวของพวกนี้ใช่ไหม”
พิมพิลาสหน้าเสีย
บุษบันได้โอกาสรีบวิ่งหนี แต่ผลักอาวุธต่างๆ ที่พอจะผลักได้เพื่อปิดทางพิมพิลาส
พิมพิลาสพยายามวิ่งตาม พร้อมกับยิงปืนไปด้วย
พิมพิลาสไม่ทันระวัง ลูกศรที่อยู่ในคันชักธนูหล่นลงมาเฉี่ยวไหล่พิมพิลาสฉิดฉิว พิมพิลาสตกใจ มองที่ไหล่แต่ไม่เป็นอะไร มีแค่เสื้อเป็นรอยขาดเท่านั้น
พิมพิลาสมองตามบุษบัน และรีบวิ่งตามออกไป

บุษบันพยายามตั้งสติวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต มองข้างหลังตลอดท่าทีหวาดกลัว จนพิมพิลาสวิ่งตามมา
บุษบันวิ่งมาเรื่อยๆ เห็นประตูทางออกอยู่ตรงหน้า บุษบันมีความหวังว่าจะหนีพ้น
พิมพิลาสวิ่ง พร้อมกับใช้ปืนยิงไล่ตามมาติดๆ บุษบันวิ่งมาถึงประตู เปิดประตูออก กำลังจะก้าวออกไป แต่ต้องหยุดชะงัก บุษบันค่อยๆ ก้มลงมองที่ขา เห็นเป็นรอยถูกยิง
พิมพิลาสยกปืนอยู่ในท่ายิงจากด้านหลัง
บุษบันค่อยๆ ล้มลง พิมพิลาสเดินเข้ามาหาอย่างใจเย็น

เวลาเดียวกันภีร์ภูมิขับรถด้วยความเร็ว มีตะวันฉายกับกนิษฐานั่งมาด้วย
“หวังว่าคุณบุษคงไม่เป็นอะไรนะคะ”
ทั้งสามคนลุ้นระทึก ท่าทีตื่นเต้นสุดขีด ห่างออกไป เห็นรถของพิชยะวิ่งตามมา

ทางด้านมากแอบสังเกตการณ์อยู่ตรงด้านข้างแกลเลอรี่ รู้สึกเหมือนว่ามีคนเดินมา มากจำเสียงฝีเท้าของพิมพิลาสได้
พิมพิลาสประคองบุษบันเดินเข้ามาใกล้กับมาก มากทำจมูกฟุดฟิดได้กลิ่นน้ำหอมของพิมพิลาส
“คุณหนูออกมาแล้ว!”
มากผวากลัว อุ้มอีแด่นหนี แต่อีแด่นดันเห่าขึ้น
“อย่าเห่าเดี๋ยวเขาได้ยิน” มากบอก
อีแด่นยังเห่าไม่เลิก
พิมพิลาสประคองร่างไร้สติของบุษบันมาที่รถ เปิดประตูรถ วางบุษบันไว้ที่เบาะข้างคนขับ
พิมพิลาสเปิดช่องเก็บของบนคอนโซลหน้าหยิบเทปพันสายไฟออกมา มัดมือ กำลังจะปิดปากบุษบัน
ในจังหวะที่อีแด่นสะบัดหลุดจากมาก
“อีแด่น! หยุด อย่าไป”
อีแด่นวิ่งเข้ามาเห่าใกล้ ๆ พิมพิลาส มากตกใจลนลานตามมา
พิมพิลาสหันมาเห็นอีแด่นกับมากก็ตกใจ จำมากได้
“ลุง! มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“แล้วคุณหนูมาทำอะไรที่นี่”
บุษบันที่อยู่ในรถ พยายามตะโกนให้คนช่วย แต่อ่อนแรงหายใจโรยริน
“ช่วยด้วย! ช่วยฉันด้วย”
มากได้ยินเสียงบุษบัน และจำได้
“คุณหนูทำอะไรคุณบุษบัน”
พิมพิลาสตกใจวิ่งมาที่รถใช้เทปพันสายไฟปิดปากบุษบัน
มากตกใจกลัว วิ่งหนี ร้องให้คนช่วย อีแด่นเห่าไม่หยุด
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!”
พิมพิลาสหันมา นัยน์ตาวาวโรจน์
“หยุดนะลุง”
มากรีบร้อนจนสะดุดล้ม อีแด่นวิ่งตามมา
“อีแด่น เอ็งไปตามคนมาช่วยเร็ว” มากบอก
อีแด่นรู้เรื่อง วิ่งออกไป พิมพิลาสถือปืนยกขึ้นเล็งไปทางอีแด่น
มากได้ยินเสียงพิมพิลาสเหนี่ยวไกปืน รู้ทันทีว่าพิมพิลาสกำลังจะทำอะไร ร้องห้ามเสียงหลง
“อย่ายิง! อย่ายิงอีแด่น! อย่าๆ”
มากรีบวิ่งเข้าไปขวาง กอดอีแด่นไว้แน่น ลูกกระสุนถูกมาก และทะลุเข้าถูกร่างอีแด่นล้มลงนอนจมกองเลือดกับพื้น
น่าประหลาดนัก อีแด่นพยายามตะเกียกตะกายเข้าหามาก ร้องด้วยความเจ็บ มากน้ำตาไหล ลูบหัวลูบหางอีแด่นอย่างรักใคร่
“อีแด่น เอ็งไม่เป็นอะไรนะ”
อีแด่นร้องครางด้วยความเจ็บปวด ซุกตัวกับมาก ที่กอดรัดอีแด่นแน่น
พิมพิลาสเห็นภาพตรงหน้า ก็อึ้งไป รีบวิ่งกลับไปที่รถ

เวลาเดียวกันนั้น หลวงพ่อกสินนั่งสมาธิอยู่ในโบสถ์ สักครู่หลวงพ่อกสินลืมตาขึ้น พูดอย่างปลดปลง
“หมดเวร หมดกรรม กันเสียทีนะโยมสมาน โยมด้วง”
หลวงพ่อกสินเงยหน้ามองพระประธานเบื้องหน้า
“ไม่ว่าจะเกิดกี่ภพกี่ชาติ ก็หนีบ่วงกรรมไปไม่พ้น เกิดชาติหน้าขอให้เอ็งทำแต่กรรมดีนะ”

หลวงพ่อกสินหลับตาลงทำสมาธิต่อ

บ่วงวันวาร ตอนที่ ๑๒ อวสาน (ต่อ)

ภีร์ภูมิขับมาจอดหน้าที่แกลเลอรี่เบรคดังเอี๊ยด! ตามมาด้วยรถพิชยะจอดข้างหลังรถภีร์ภูมิ

ภีร์ภูมิ ตะวันฉาย และกนิษฐาเห็นรถบุษบันจอดอยู่ ก็รีบวิ่งเข้าไปหน้าแกลอรี่ พิชยะก็ตามไปด้วย ทุกคนวิ่งมาที่หน้าประตูแกลอรี่เห็นรอยเลือดหยดอยู่เป็นทาง
ภีร์ภูมิตกใจเป็นห่วงบุษบัน “คราบเลือด!!!...บุษ”
ทันใดนั้น ได้ยินเสียงมากครวญครางมาจากด้านข้าง แกลเลอรี่ ภีร์ภูมิ กนิษฐา และตะวัน หันมองพร้อมกัน แล้วรีบวิ่งไปดู

พอภีร์ภูมิ กนิษฐา และตะวันฉาย เข้ามาเห็นมากกับหมาอีแด่นถูกยิง ก็ตกใจ พิชยะมองอย่างตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น และเริ่มลำดับเหตุการณ์
“ลุง! ใครทำอะไรลุง” กนิษฐารีบถามอย่างตกใจ
มากอาการสาหัส เลือดออกปากพูดตะกุกตะกัก ใกล้หมดแรง “คุณหนูตัวหอมๆ ยิงลุง ลุงได้ยินเสียงคุณบุษบันอยู่ในรถด้วย” ยิ่งพูดก็ยิ่งสำลักเลือด และเลือดยิ่งไหลออกมาจากปากไม่หยุด
“ลุงไม่ต้องพูดแล้วนะ…ไปโรงพยาบาลก่อนเถอะ” กนิษฐาบอก
“ไม่ต้อง…รีบไปช่วยคน…” มากพูดยังไม่จบคำ ก็สิ้นลมหายใจไปก่อน
ทุกคนมองอย่างสะเทือนใจ
กนิษฐามั่นใจ “ต้องเป็นคุณพิมแน่ๆ”
“บุษ!” ภร์ภูมิใจไม่ดี
“รีบไปกันเถอะครับ คุณพิมคงยังไปไม่ไกล ขับไปตอนนี้น่าจะทัน”
ภีร์ภูมิได้ยินแบบนั้นร้อนใจเป็นห่วงบุษบัน รีบวิ่งขึ้นรถไป ตะวันฉาย และกนิษฐา วิ่งตามขึ้นรถเช่นกัน
กนิษฐาหันมาบอกพิชยะ “เพื่อนฉันโดนผู้หญิงในรูปจับตัวไป”
“ผมไปด้วย” พิชยะบอก
ภีร์ภูมิขับรถออกไป! พิชยะก็ขับรถตามไป

สามคนอยู่ในรถ ทุกคนเครียด เป็นห่วงบุษบันมาก ภีร์ภูมิขับรถอยู่ ยื่นโทรศัพท์ให้ตะวันฉาย
“คุณช่วยเปิดแผนที่ตาม GPRS ให้ผมหน่อย ปกติโทรศัพท์พิมจะเปิดสัญญาณ GPRS ไว้ ต้องลองดูว่าตอนนี้เราจะตามได้หรือเปล่า”
ตะวันฉายเปิด GPRS ในโทรศัพท์ ครู่หนึ่งก็จับพิกัดสัญญาณ GPRS พิมพิลาสได้
“สัญญาณยังใช้ได้อยู่ เจอพิกัดคุณพิมแล้วครับ!”
ทุกคนมีความหวัง ภีร์ภูมิรีบขับตามสัญญาณ GPS พิมพิลาสไปราวกับจะเหาะ

ด้านบุษบันยังนอนสลบอยู่ที่เบาะข้างๆ มือถูกพันไว้ด้วยเทปพันสายไฟ พิมพิลาสมองบุษบันสีหน้าเคียดแค้นและสะใจ
แผ่นป้ายบอกทางไปจังหวัดสมุทรปราการ

รถพิมพิลาสเลี้ยวผ่านป้าย “ท่าเรือสมุทรปราการ” บุษบันเริ่มรู้สึกตัว ค่อยๆ ลืมตาขึ้น บุษบันพยายามเอามือที่ถูกมัดอยู่ด้วยเทปพันสายไฟ แล้วเอื้อมไปจับแย่งพวงมาลัยพิมพิลาสให้จอดรถ รถพิมพิลาสเลี้ยวจอดข้างทาง
ส่วนในรถ บุษบันเอามือที่ถูกมัดอยู่พยายามดึงเทปพันสายไฟที่ปิดอยู่ที่ปากจนหลุดออก
พิมพิลาสหยิบปืนขึ้นมาจ่อบุษบัน ตะคอกใส่
“หยุด! อยู่เฉยๆ…เธอไม่มีทางรอดหรอก”
“คุณพิม! คุณจะทำอะไร คุณจะฆ่าฉันเหรอ?!”
“ใช่! ฉันจะฆ่าเธอ ก่อนที่เธอมาฆ่าฉัน”
“ฉันไม่เคยคิดจะฆ่าคุณ”
“ไม่จริง ฉันเห็นเธอจะฆ่าฉันด้วยตรวนอันนั้น เหมือนที่ฉันเคยฆ่าแก เมื่อชาติที่แล้ว”
“คุณรู้ด้วยเหรอ?”
“ฉันรู้ทุกอย่าง! เธอแย่งภูมิไปจากฉันเมื่อชาติที่แล้ว ชาตินี้เธอก็มาแย่งภูมิไปจากฉันอีก ฉันถึงต้องทำแบบเดิม ฉันจะไม่มีวันเสียภูมิไปให้เธออีกแล้ว”
“ฉันไม่มีวันคิดฆ่าคุณ” บุษบันบอกอีก
“ไม่จริง! ถ้าแกไม่คิดทำร้ายฉัน แกจะต้องการตรวนไปทำอะไร…ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเรื่องอดีตชาติมันจะมีจริง แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ฉันนี่แหละจะเป็นคนหยุดเรื่องทุกอย่างเอง”
พิมพิลาสสีหน้าเหี้ยม


ขณะเดียวกันตะวันฉายคอยบอกทางภีร์ภูมิ
“ตรงไปครับ”
หน้าจอโทรศัพท์ภีร์ภูมิเห็นพิกัด GPS รถของพิมพิลาสเคลื่อนไปเรื่อยๆ และป้ายบอกทางไปจังหวัดสมุทรปราการ
กนิษฐาสงสัยหันมาถามภีร์ภูมิ “คุณพิมพิลาสพาคุณบุษไปที่สมุทรปราการทำไมคะ”
“นั่นสิ! ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันสมุทรปราการมีอะไร”
ตะวันฉายมองที่โทรศัพท์ ปรากฏว่าสัญญาณ GPS ของพิมพิลาสหายไปก็ตกใจ
“สัญญาณGPS ของคุณพิมพิลาสหายไปแล้วครับ”
ภีร์ภูมิ และกนิษฐาตกใจ
“ทีนี้จะเอายังไงกันดี”
ภีร์ภูมิกังวลหนัก

รถพิมพิลาสแล่นมาจอดที่ท่าเรือสมุทรปราการ พิมพิลาสเอาปืนจี้ให้บุษบันลงจากรถ
พิมพิลาสหันไปหยิบกระเป๋าในหนึ่ง เป็นกระเป๋าสไนเปอร์ ขึ้นมาสะพายแล้วลงจากรถ
“ลงไป”
บุษบันพยายามพูดโน้มและต่อรองเพื่อถ่วงเวลา “คุณพิมคะ เชื่อฉันเถอะค่ะ อย่าทำแบบนี้เลย เรื่องในอดีตชาติมันผ่านมาแล้ว”

พิมพิลาสไม่ฟัง “ฉันไม่เชื่อ! ฉันเห็นกับตาว่าเธอจะทำร้ายฉัน! เธอไม่ต้องพูดมาก ไป ฉันบอกให้ลงไป!”
พิมพิลาสเอาปืนขู่ให้บุษบันเดินลงไป

ภีร์ภูมิจอดรถข้างทาง ทุกคนออกมาคุยกันที่นอกรถ
“ผมว่าเราต้องขอให้ตำรวจช่วยเหลือแล้วละ”
พิชยะจอดรถแล้วเดินลงมาถาม
“เกิดอะไรขึ้นทำไมไม่ไปกันต่อครับ”
กนิษฐาบอก “อยู่ๆ GPS รถของคุณพิมพิลาสที่ตามมาก็หายไปค่ะ เลยไม่รู้จะตามไปที่ไหน”
พิชยะครุ่นคิดก่อนจะถาม
“ผู้หญิงคนนั้นเอาตรวนไปด้วยใช่ไม๊”
“ใช่ครับ ทำไมเหรอครับ” ภีร์ภูมิสงสัย
“ในชาติที่แล้วเรื่องราวเกิดขึ้นและจบลงยังไง ชาตินี้เหตุการณ์อาจจะเกิดแบบเดียวกันก็ได้” พิชยะว่า
ภีร์ภูมิคิดไปคิดมา ที่สุดก็คิดออก! “พิมพาบุษไปถ่วงน้ำ!”
ทุกคนฟังแล้วตกใจ จังหวะนั้นเองภีร์ภูมิเห็นป้ายบอกทางไป “ท่าเรือสมุทรปราการ” จึงร้องบอก
“ท่าเรือสมุทรปราการ”
“เรารีบไปกันเถอะครับ” ตะวันฉายเร่ง

ทุกคนรีบไปขึ้นรถแล้วภีร์ภูมิก็ขับทะยานออกไป

ฝ่ายพิมพิลาสจ่อปืนบังคับให้บุษบันเดินผ่านโกดังไปที่เรือ

“คุณจะพาฉันไปไหน”
“เธอคิดจะฆ่าฉันยังไง ฉันก็จะฆ่าเธออย่างนั้นแหละ!” พิมพิลาสบอก
บุษบันแกล้งสะดุด แล้วล้มลงไปที่พื้นเพื่อถ่วงเวลา
“ลุกขึ้นมา”
“ฉันเจ็บข้อเท้า ฉันเดินต่อไปไม่ไหว”
พิมพิลาสพยายามกระชากให้บุษบันลุกขึ้น บุษบันพยามมองที่ปืนพิมพิลาสเพื่อหาจังหวะแย่งปืน
ระหว่างนั้น กระเป๋าที่พิมพิลาสสะพายมาค่อนข้างหนัก สายสะพายตกจากไหล่มาที่ข้อพับแขน นั่นทำให้พิมเสียหลัก! บุษบันได้โอกาสพยายามขยับข้อมือให้เทปพันสายไฟหลุดออก แล้วเข้าไปแย่งปืน
กระเป๋าที่พิมพิลาสสะพายมาตกไปที่พื้น ทั้งคู่แย่งปืนกันไปมา พิมพิลาสเหวี่ยงบุษบันไปโดนกระจกบริเวรนั้นตกมาแตก ปืนกระเด็นตกลงพื้น ทั้งคู่รีบวิ่งไปคว้าปืน ลุ้นๆ ว่าใครจะได้ปืน ในที่สุดพิมพิลาสก็คว้าปืนได้! พิมพิลาสเอาปืนจ่อบุษบันไว้
แต่ในมือบุษบัน ถือเศษกระจกแหลมจ่อไว้ที่คอพิมพิลาส พอพิมพิลาสเห็นเศษกระจกแหลมก็ตกใจ กลัวจนมือสั่น บุษบันได้จังหวะรีบคว้าปืนจากพิมพิลาสไว้

เวลาเดียวกันนั้น รถภีร์ภูมิกับรถพิชยะขับเลี้ยวเข้ามาทางท่าเรือแล้ว

ส่วนในโกดัง บุษบันเอาปืนจ่อพิมพิลาสไว้ พิมพิลาสจ้องบุษบันด้วยสายตาแข็งกร้าว พูดอย่างเจ็บแค้น
“นี่นะเหรอที่เธอบอกว่าจะไม่ทำอะไรฉัน!”
“ฉันไม่มีวันทำร้ายคุณ ไม่ว่าคุณเคยทำอะไรฉันไว้ในชาติที่แล้ว ฉันไม่เคยติดใจ ฉันอโหสิกรรมให้คุณทุกอย่าง ขอให้คุณหยุดทำในสิ่งที่ผิดแล้วทุกอย่างมันจะจบลง”
พิมพิลาสตีหน้าเศร้า เหมือนจะยอมรับ บุษบันลดปืนลง แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากำลังจะโทร.ขอความช่วยเหลือ ชั่วพริบตานั้นเอง พิมพิลาสเข้าแย่งปืนจากบุษบัน แล้วแย่งมาได้
พิมพิลาสเอาปืนจ่อบุษบัน!
“อย่ามาทำตัวเป็นแม่พระ! คิดเหรอว่าฉันจะปล่อยแกไปง่ายๆ ชาติที่แล้วแกแย่งภูมิไปจากฉัน ชาตินี้ฉันไม่ยอมให้แกแย่งภูมิไปจากฉันได้อีก”
“ชะตากรรมตัวเรากำหนด ถ้าคุณยังเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นแบบนี้ ถึงแม้ไม่มีฉันเป็นอุปสรรค คุณก็ไม่มีวันจะสมหวังความรักกับภูมิหรอก”
พิมพิลาสโมโห เอาปืนตบไปที่หน้าบุษบันอย่างแรง บุษบันล้มไปกองที่พื้น
“ในเมื่อเธอพูดเองว่าเราเป็นคนกำหนดชะตากรรม ฉันก็จะขอกำหนดให้เธอแยกจากภูมิตลอดไป ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน”
พิมพิลาสกำลังจะเหนี่ยวไก
“ลาก่อน…”
บุษบันสีตกใจ
พิมพิลาสเหนี่ยวไกยิงบุษบัน แต่ปรากฏว่ากระสุนหมด ทั้งสองคนชะงัก
ทันใดนั้น พิมพิลาสได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาจึงหันไปมอง บุษบันได้จังหวะ ลุกขึ้นกระแทกพิมพิลาสล้มลง บุษบันกำลังจะลุกขึ้นหนี พิมพิลาสกระชากแขนไว้ แล้วเอาปืนตบหน้าเต็มแรง บุษบันล้มตึงไปที่พื้น มึนงง

ภีร์ภูมิกับพิชยะขับรถเข้ามาจอดที่ท่าเรือ ทุกคนลงมาจากรถ เห็นรถพิมพิลาสจอดอยู่ ทุกคนช่วยหันมองหา ภีร์ภูมิมองไปที่เรือเห็นพิมพิลาสกำลังพาบุษบันไปที่แม่น้ำ ก็ร้องขึ้น
“อยู่ที่แม่น้ำ!”
ทุกคนรีบวิ่งไปทางแม่น้ำ

บุษบันยังมึนงง แต่ก็ตะเกียกตะกายจะลุกหนี ทันใดนั้นที่ข้อมือของบุษบันก็ถูกตรวนทองคำล็อคไว้! บุษบันตกใจ!แล้วพิมพิลาสเอาตรวนอีกข้างล็อคกับแขนตัวเองไว้
“เธอไม่มีวันหนีฉันได้บุษบัน”
พิมพิลาสกระชากบุษบันออกไป ก่อนจะพยุงบุษบันขึ้นเรือไป บุษบันสะลึมสะลือยังมึนกับการถูกตี พิมพิลาสพยายามสตาร์ทเรือ ในที่สุดก็สตาร์ทเรือติดพอดี!

ภีร์ภูมิรีบวิ่งมาที่ท่าเรือเร็วรี่ ตะวันฉาย กนิษฐา พิชยะ วิ่งตามมา
“พิม..หยุดนะ!”
พิมพิลาสเห็นภีร์ภูมิวิ่งมาก็จะออกเรือ ภีร์ภูมิกระโดดขึ้นเรือได้ทัน แล้วรีบเข้าไปจะไขกุญแจปิดเรือ แต่พิมพิลาสขวางไว้
พิมพิลาสแย่งกุญแจกับภีร์ภูมิจนกุญแจตกน้ำไป พิมพิลาสฉวยจังหวะนั้น ผลักภีร์ภูมิออกไป แล้วลากตัวบุษบันไว้ขอบเรือ
“พิม…ใจเย็นๆ” ภีร์ภูมิพยายามกล่อม
“ไม่!…ภูมิอย่าเข้ามานะ ไม่งั้นฉันพานังนี่กระโดดลงน้ำแน่!”
“อย่าทำแบบนั้นนะพิม”
พิมพิลาสเยาะหยัน “ทำไมคะ..กลัวนังนี่จะตายเหรอ ไหนบอกว่ารักพิม ไหนบอกว่าไม่ทิ้งกันตลอดไป แล้วนี่มันอะไร”
“ผมสัญญาว่าผมจะดูและไม่ทอดทิ้งพิมไปตลอดชีวิต แต่สำหรับความรักผมมีให้บุษได้คนเดียว”
ฟังภีร์ภูมิพูด พิมพิลาสน้ำตาคลอเสียใจ
“ถ้าภูมิพูดอย่างงั้นพิมก็ไม่มีทางเลือกอื่น!”
พิมพิลาสกระชากบุษบันออกไปขอบเรืออีก บุษบันกลัวพยายามเกาะเหล็กขอบเรือไว้
“คุณพิมอย่าทำแบบนี้นะคะ”
ภีร์ภูมิใจไม่ดี “อย่าทำแบบนั้นนะพิม! ใจเย็นๆ นะ”
“ถ้าคุณทำแบบนี้ไม่ใช่ฉันนะที่จะตาย คุณก็จะตายด้วย เราจะตายกันทั้งสองคนนะคุณพิม”
พิมพิลาสร้องไห้สีหน้าโกรธแค้น!

ตะวันฉาย กนิษฐา และพิชยะ มองดูเหตุการณ์จากท่าเรืออย่างเป็นห่วง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้
“จะทำยังกันดี! เหมือนคุณพิมจะพาคุณบุษกระโดดลงน้ำแล้ว!” ตะวันฉายกระวนกระวายใจ
“ยัยบุษว่ายน้ำไม่เป็นด้วยขืนตกลงไปต้องอันตรายแน่!”
พิชยะมองดูเหตุการณ์อยู่ พิชยะเห็นตรวนทองคำที่ข้อมือบุษบันและพิมพิลาส
พิชยะถามกนิษฐา “ที่ข้อมือของคุณทั้งสองคนนั่นตรวนทองคำใช่ไม๊”
“นั่นแหละคือตรวนทองคำที่คุณอยากเห็นนักหนา”
พิชยะพยักหน้า และคลำกุญแจทองคำที่คอ สีหน้าคิดอะไรบางอย่าง พิชยะจ้องไปที่ตรวนอย่างไม่คลาดสายตา

ฝ่ายภีร์ภูมิพยายามก้าวเข้าไปหาพิมพิลาส
“ส่งมือมาให้ผมนะพิม อย่าทำแบบนี้เลย ผมไม่อยากเห็นใครต้องเป็นอะไรไป”
พิมพิลาสร้องไห้ขณะถาม “ภูมิรักพิมไม๊”
ภีร์ภูมิไม่ตอบ “พิมส่งมือมาก่อน ตรงนั้นมันอันตราย เดี๋ยวตกลงไป”
พิมพิลาสโมโห ขึ้นเสียงใส่ “พูดมาก่อนภูมิรักพิมไม๊?”
ภีร์ภูมิพยายามพูดโน้มน้าวให้พิมพิลาสส่งมือมา
“ผมเป็นห่วงพิมนะ”
“ห่วงใครกันแน่ ห่วงพิมหรือห่วงนังนี่” พิมพิลาสคาดคั้น
ภีร์ภูมินิ่งไม่ตอบ
“ห่วงมันใช่ไม๊…บอกมาสิภูมิ! ห่วงมันใช่ไม๊! ในที่สุดมาถึงวันนี้ พิมก็รู้ว่าภูมิไม่เคยรักพิมเลย”
พิมพิลาสหันขวับมามองบุษบัน บอกด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ภูมิรักแต่นังนี่”
ภีร์ภูมิเห็นท่าไม่ดี พยายามกล่อมอีก
“พิมเข้ามาเถอะนะ”
“วันนี้ภูมิจะได้รู้ว่าการสูญเสียคนรักจะเป็นยังไง”
ขาดคำพิมพิลาสก็กระชากบุษบันลงน้ำไป
ร่างบุษบันตกน้ำไปต่อหน้าต่อตาทุกคน
“บุษ! พิม!” ภีร์ภูมิร้องลั่น
ตะวันฉายและกนิษฐา ดูเหตุการณ์อยู่ที่ท่าเรือก็ตกใจ

“ยัยบุษ” / “คุณบุษ!”

ภีร์ภูมิตัดสินใจกระโดดลงมาช่วยพิมพิลาสกับบุษบัน พิมพิลาสพยายามดันตัวเองออกจากภีร์ภูมิ บุษบันตะเกียกตะกายช่วยเหลือตัวเอง แต่พิมพิลาสกอดให้บุษบันจมลงไปในน้ำ ทั้งคู่จมลงน้ำอีก

ภีร์ภูมิดำลงไปใต้น้ำพยายามจะปลดล็อคตรวนจากข้อมือพิมพิลาสและบุษบัน แต่พิมพิลาสไม่ยอมสะบัดตัวหนีเพื่อที่จะให้ตัวเองจมลงทะเล
“คนสองคนถูกผูกติดไว้กับตรวนทองคำหนักตั้งเป็นสิบกิโล คุณภูมิคนเดียวไม่มีทางช่วยขึ้นมาได้แน่ๆ”
ได้ฟังที่กนิษฐาว่า พิชยะเอามือจับกุญแจทองคำแล้วคิดอะไรบางอย่าง
ภีร์ภูมิพยายามช่วยเต็มที่แต่ก็ไม่สามารถปลดล็อคได้ บุษบันกับพิมพิลาสเริ่มหมดสติ ภีร์ภูมิก็ยิ่งพยายามช่วยแกะแต่ทำยังไงก็ไม่สำเร็จ

เวลาเดียวกันนั้น พิชยะกระชากกุญแจทองคำที่คอออก พึมพำกับตัวเอง
“ฉันรู้แล้วว่าทำไมฉันถึงต้องมาที่นี่ แล้วกุญแจดอกนี้มีไว้เพื่ออะไร”
พิชยะจูบกุญแจทองคำที่ติดตัวมานานคล้ายกับสั่งลาก่อนที่จะปาสุดแรงไปที่ทั้งสามคนนั้น

ภีร์ภูมิยังคงพยายามช่วยแกะตรวนออกจากบุษบันกับพิมพิลาส
ทันใดนั้น กุญแจทองคำพุ่งมาทางภีร์ภูมิ ภีร์ภูมิเห็นก็ชะงักแล้วรีบคว้าไว้ ภีร์ภูมิมองกุญแจทองคำอย่างพินิจ แล้วรีบเอากุญแจทองคำไปไขตรวนออกจากข้อมือบุษบันได้สำเร็จ ข้อมือบุษบันหลุดจากตรวนแล้ว ตรวนทั้งเส้นจึงติดอยู่ที่ข้อมือพิมพิลาสเพียงคนเดียว ทำให้ตรวนถ่วงร่างพิมพิลาสลงสู่ใต้ทะเล ภีร์ภูมิพยายามจะคว้าร่างพิพิลาสไว้แต่คว้าไม่ทัน ร่างพิมพิลาสค่อยๆ จมลงใต้น้ำ
ภีร์ภูมิตกใจ มองตามด้วยความเสียใจ ที่ช่วยพิมพิลาสไว้ไม่ได้
ตะวันฉายเอาแผ่นโฟมเก่าบริเวณนั้น กระโดดลงน้ำไปช่วยภีร์ภูมิกับบุษบันขึ้นมา

ภีร์ภูมิกำลังผายปอดช่วยบุษบัน ทุกคนมองบุษบันด้วยความเป็นห่วง สักครู่หนึ่งบุษบันสำลักน้ำออกมา ร่างขยับเริ่มได้สติ ทุกคนดีใจ
“ยัยบุษฟื้นแล้ว” ตะวันฉายร้องลั่น
ภีร์ภูมิดีใจ “บุษ”
“ฉันคิดว่าฉันจะไม่ได้เห็นหน้าคุณอีกแล้ว” บุษบันมองหน้าภีร์ภูมิ
“ผมไม่มีวันเสียคุณไป”
ภีร์ภูมิโอบกอดบุษบันไว้อย่างแสนรัก

ครู่ต่อมาภีร์ภูมิพยุงบุษบันไปที่รถจะพาไปโรงพยาบาล กนิษฐาหันมองซ้าย-ขวา หาใครบางคน ในที่สุดจึงถามขึ้น
“คุณพิชยะหายไปไหน”
“เออ..ใช่ คุณพิชยะหายไปไหน” ตะวันฉายถามตาม
“ยังไม่ได้ขอบคุณเขาเลย ถ้าไม่ได้เขาเราแย่แน่” ภีร์ภูมิก็งง
กนิษฐาแปลกใจและรู้สึกผิดหวังที่พิชยะกลับไปไม่บอกไม่กล่าว

ด้านพิชยะนั่งอยู่ในรถ สีหน้าผ่อนคลาย สิ่งที่ค้างอยู่ในใจเขามาตลอด บัดนี้ได้สะสางจนสำเร็จลงแล้ว รถพิชยะกำลังมุ่งสู่สนามบินสุวรรณภูมิ

1 อาทิตย์ผ่านไป
ป้าทิพย์ยืนถือดอกไม้ จ้องรูปพิมพิลาสที่ติดอยู่กับโกศใส่กระดูก บริเวณข้างโบสถ์ หญิงชราร้องไห้อยู่ ภีร์ภูมิกับบุษบันอยู่ข้างๆ
“ป้าไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องแบบนี้มันจะมีอยู่จริงและเกิดขึ้นกับหลานของป้า หมดทุกข์หมดโศกกันเสียทีนะคะคุณหนู เกิดชาติหน้าฉันใดขอให้ป้ากับหนูได้มาพบกันอีกนะ”
ป้าทิพย์เอาดอกไม้ไปวางหน้าโกศ ภีร์ภูมิ และบุษบัน เดินมาที่หน้ารูปพิมพิลาส
บุษบันหน้าเศร้าขณะขออโหสิกรรม “เรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ว่าในอดีตชาติหรือชาตินี้ ฉันขออโหสิกรรมให้คุณนะคะ ขอให้บ่วงกรรมทุกอย่างจบลงแค่ชาตินี้”
“สิ่งที่ผมทำกับคุณไว้ให้เจ็บปวดทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ อโหสิกรรมให้ผมด้วยนะครับ หลับให้สบายนะพิม” ภีร์ภูมิขออโหสิกรรม
หลวงพ่อกสินมองมาที่โกศพิมพิลาส
“เวรกรรมที่ทำไว้ไม่สนองในชาตินี้ ก็ต้องสนองในชาติหน้า ถ้าไม่ก่อกรรมทำชั่ว ถ้าชาตินี้คิดดีทำดีก็ไม่มีบ่วงเวรบ่วงกรรมไปชดใช้ในวันหน้า”

เย็นนั้น ที่พิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งดูเก่าแก่มาก กนิษฐาถือหนังสือเต็มมือ เดินเข้ามาในลิฟต์ เห็นสภาพลิฟต์ดูเก่าน่ากลัวมาก
“จะถึงไม๊เนี่ย?”
ทันใดนั้น ลิฟต์ก็หยุดกะทันหัน กนิษฐาตกใจ สีหน้าไม่ดี
“โอ๊ยย!…ไม่น่าพูดเล๊ยย! ปากนะปาก”
กนิษฐากดกริ่งเรียก กริ่งก็ไม่ดัง กนิษฐาเซ็ง พอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู หน้าจอแบตเตอรี่อ่อนและหมดคาตา
“เฮ้ย! จะซวยซ้ำซวยซ้อนอะไรขนาดนี้!!”
ระหว่างนั้น ไฟในลิฟต์ก็กระพริบๆเหมือนจะดับ กนิษฐาสีหน้าไม่ดี)
“อย่าดับนะ…อย่าดับนะ…ขอร้อง”
พูดไม่ทันขาดคำไฟก็ดับพรึบ!
“ช่วยด้วยค่ะ…มีใครอยู่ข้างนอกไม๊คะ…ช่วยด้วยค่ะ”
เสียงกนิษฐาหายไป
ครู่หนึ่งก็มีแสงแง้มประตูจากข้างนอกเข้ามาในลิฟต์ กนิษฐานั่งหวาดกลัวอยู่ในลิฟต์ พอเห็นแสงก็ดีใจ กนิษฐาลุกขึ้นเห็นเป็นเงาผู้ชายคนหนึ่งแต่ยังไม่รู้เป็นใคร พอไฟเปิดสว่างจึงเห็นเป็นพิชยะยืนอยู่!
กนิษฐาดีใจ “คุณพิชยะ!...คุณมาที่นี่ได้ยังไงคะ”
“มีอะไรบางอย่างบอกให้ผมมาที่นี่” พิชยะว่า
กนิษฐาได้ยินก็รู้สึกเขิน
“บางอย่างที่ว่าคืออะไรเหรอคะ”
พิชยะจ้องตาขณะบอก “ก็คุณไง”
กนิษฐานิ่ง เขิน ทั้งคู่ยิ้มให้กัน

หลายวันต่อมา สองคนอยู่ภายในห้องแสดงวัตถุโบราณพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ
เห็นตรวนทองคำพร้อมกุญแจทองคำอยู่ด้วยกันในตู้โชว์ มีป้ายเขียนไว้เป็นข้อมูล ตรวนทองคำสมัยรัชกาลที่ ๕ ค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2556 จากแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นของพระราชทานให้แก่พระยาโกสินทร์ ต้นตระกูลโกสินทร์พิทักษ์ในปัจจุบัน
ภีร์ภูมิกับบุษบันยืนดูอย่างปลื้มใจ
“ในที่สุดตรวนทองคำก็อยู่ในสถานที่ที่สมควรจะอยู่แล้ว ฉันมีความสุขจังเลย”
ภีร์ภูมิเอ่ยขึ้น “ตรวนทองคำพระราชทานเป็นสัญลักษณ์ของความดีงาม ไม่ควรจะถูกใช้ในทางที่ไม่ดี ต่อจากนี้ไปตรวนทองคำจะอยู่ที่นี่จะเป็นสัญลักษณ์ของความดีของตระกูลโกสินทร์พิทักษ์ ไม่ใช่สัญลักษณ์ของความเจ็บปวดและสูญเสียอีกต่อไปทั้งสองกุมมือกัน”
ค่ำคืนนั้นเสียงเพลงแว่วหวานจากกล่องดนตรี ภีร์ภูมิกับบุษบันนอนดูดาวกอดกันอยู่บนดาดฟ้าบ้านบุษบัน
“ได้ยินเสียงเพลงจากกล่องดนตรีทีไร มันทำให้ฉันอบอุ่นหัวใจ มีความสุขทุกครั้งที่ได้ฟัง” บุษบันว่า
“ผมก็เหมือนกัน นับจากนี้ต่อไปจะมีแต่เรื่องดีๆเกิดขึ้นกับเราสองคน ผมสัญญาว่าผมจะรักและดูแลคุณตลอดไป”
“ฉันก็สัญญาค่ะ”

ภีร์ภูมิบรรจงจูบที่หน้าผากบุษบันอย่างนุ่มนวลละมุนละไม ทั้งคู่สบตากันอย่างมีความสุข

จบบริบูรณ์

โปรดติดตาม "แผนรักแผนร้าย" เร็วๆ นี้
กำลังโหลดความคิดเห็น