โบรกเกอร์เผยเดือน ม.ค.ยอดปล่อยมาร์จิ้นโลนเพิ่มขึ้น แรงหนุนจากดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ดันยอดปล่อยทั้งอุตสาหกรรมแตะ 4 หมื่นล้านบาท นายกสมาคมโบรกเกอร์ยันไม่น่ากังวล เหตุอดีตเคยสูงถึง 1 แสนล้านบาท บล.มีมาตรการดูแล ด้าน บล.กิมเอ็งเผยปัจจุบันมูลค่าปล่อยอยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท
นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย เปิดเผยว่า ยอดการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้นโลน) ของทั้งอุตสาหกรรมขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ไม่อยู่ในระดับที่น่ากังวล เพราะในอดีตเคยขึ้นไปสูงถึงระดับแสนล้านบาท และการทำหน้าที่ของบริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ (TSFC) ไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ ดังนั้น ผู้ให้สินเชื่อหลักจึงมาจากฝั่งของโบรกเกอร์ และอีกส่วนจะมาจากการให้วงเงินของธนาคารพาณิชย์ซึ่งมีให้อย่างจำกัด
“มาร์จิ้นโลนขณะนี้ไม่ได้ร้อนแรงจนต้องถึงระดับที่น่ากังวล และระหว่างบริษัทสมาชิกมีการแชร์ข้อมูลของการปล่อยสินเชื่อร่วมกันเพื่อจะได้รู้ว่าตัวไหนได้ถูกปล่อยไปมากแล้ว ตัวไหนเพิ่งเริ่มปล่อย ทางโบรกเกอร์จะได้มีการระวัง” นางภัทธีรากล่าว
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ หรือ MBKET เปิดเผยว่า ยอดการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหุ้น (มาร์จิ้นโลน) ของบริษัทในช่วง 1 เดือนแรกของปีนี้ แตะระดับ 1 หมื่นล้านบาท ทำสถิติสูงสุดในรอบกว่า 10 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2543 เนื่องจากดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น และมูลค่าการซื้อขายหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 5 หมื่นล้านบาทต่อวัน ทำให้นักลงทุนมีความต้องการที่จะกู้เงินเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์มากขึ้น
ทั้งนี้ ยอดขายปล่อยมาร์จิ้นโลนของบริษัทจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่ถือว่าไม่น่ากังวล เพราะบริษัทมีการบริหารจัดการที่ดี ซึ่งบริษัทจะปล่อยมาร์จิ้นในหุ้นอยู่ใน SET100 แต่หากนอก SET100 จะพิจารณาปัจจัยพื้นฐานประกอบด้วย และหากติดเทิร์นโอเวอร์ลิสต์จากสำนักงาน ก.ล.ต. ก็จะไม่ปล่อยเช่นกัน
สำหรับปัจจุบันยอดการปล่อยมาร์จิ้นโลนทั้งอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าไม่ได้สูง และไม่น่ากังวล เพราะเมื่อเทียบกับขนาดของมูลค่าตลาดรวม (มาร์เกตแคป) อยู่ที่ระดับ 12.5 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนไม่ได้มาก เมื่อเทียบกับช่วงวิกฤตเมื่อปี 2540 มีการปล่อยมาร์จิ้นโลนในระดับ 1.2 แสนล้านบาท ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับมาร์เกตแคปในขณะนั้นอยู่ในระดับเพียง 3.5 ล้านล้านบาทเท่านั้น
นอกจากนี้ การบริหารจัดการความเสี่ยงของโบรกเกอร์ทำได้ดีกว่าในอดีต โดยจะมีการเปิดเผยข้อมูลร่วมกันถึงจำนวนหุ้นที่ได้ปล่อยมาร์จิ้น หากมีการปล่อยสินเชื่อเกิน 20% ของหุ้นนั้น จะมีการหยุดให้สินเชื่อในหุ้นตัวนั้นๆ
ม.ล.ทองมกุฎ ทองใหญ่ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า มาร์จิ้นโลนของบริษัทในระยะ 1 เดือนแม้ว่าจะมีการเติบโตประมาณ 10% หรือขึ้นมาใกล้ระดับ 1,000 ล้านบาท แต่ถือว่าไม่ได้สูงมากนัก โดยกำหนดเพดานการปล่อยสินเชื่อไว้ไม่ให้เกิน 1,200 ล้านบาท และสามารถขยายวงเงินเพิ่มเป็น 1,800 ล้านบาท แต่ขณะนี้ บริษัทเห็นว่ายังไม่ถึงระดับจะต้องพิจารณาขยายวเงินเพิ่ม
ทั้งนี้ ส่วนตัวเชื่อว่าสภาวะตลาดหุ้นในปัจจุบันไม่เชื่อว่าเกิดฟองสบู่เหมือน 10 ปีก่อนหน้านี้ เพราะพื้นฐานรองรับ และสภาพคล่องที่เข้ามายังเป็นปัจจัยสนับสนุน แต่อยากให้ผู้ลงทุนซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ หากเห็นว่าหุ้นตัวใดราคาขึ้นสูงเกินกว่าการเติบโตของกำไรก็ควรหลีกเลี่ยง อย่าซื้อโดยฟังข่าวลือ โดยบริษัทจะมีหมายเหตุไปยังเจ้าหน้าที่การตลาดเพื่อให้เตือนลูกค้าในหุ้นที่ขึ้นตามข่าวลือ แต่ท้ายที่สุดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของลูกค้า นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะขยายตัวงานวิจัยครอบคลุมหุ้นขนาดกลาง และเล็กมากขึ้น
นายพิเชษฐ์ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง กล่าวว่า ยอดการปล่อยมาร์จิ้นโลนของบริษัทขณะนี้อยู่ในระดับใกล้ 1,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากก่อนหน้านี้อยู่ที่ระดับ 700 ล้านบาท อาจไม่ได้สูงเมื่อเทียบกับโบรกเกอร์อื่น เนื่องจากฐานลูกค้าของบริษัทคนละกลุ่ม และเป็นกลุ่มที่ไม่ได้ใช่มาร์จิ้นโลนในการลงทุน
นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย เปิดเผยว่า ยอดการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้นโลน) ของทั้งอุตสาหกรรมขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ไม่อยู่ในระดับที่น่ากังวล เพราะในอดีตเคยขึ้นไปสูงถึงระดับแสนล้านบาท และการทำหน้าที่ของบริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ (TSFC) ไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ ดังนั้น ผู้ให้สินเชื่อหลักจึงมาจากฝั่งของโบรกเกอร์ และอีกส่วนจะมาจากการให้วงเงินของธนาคารพาณิชย์ซึ่งมีให้อย่างจำกัด
“มาร์จิ้นโลนขณะนี้ไม่ได้ร้อนแรงจนต้องถึงระดับที่น่ากังวล และระหว่างบริษัทสมาชิกมีการแชร์ข้อมูลของการปล่อยสินเชื่อร่วมกันเพื่อจะได้รู้ว่าตัวไหนได้ถูกปล่อยไปมากแล้ว ตัวไหนเพิ่งเริ่มปล่อย ทางโบรกเกอร์จะได้มีการระวัง” นางภัทธีรากล่าว
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ หรือ MBKET เปิดเผยว่า ยอดการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหุ้น (มาร์จิ้นโลน) ของบริษัทในช่วง 1 เดือนแรกของปีนี้ แตะระดับ 1 หมื่นล้านบาท ทำสถิติสูงสุดในรอบกว่า 10 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2543 เนื่องจากดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น และมูลค่าการซื้อขายหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 5 หมื่นล้านบาทต่อวัน ทำให้นักลงทุนมีความต้องการที่จะกู้เงินเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์มากขึ้น
ทั้งนี้ ยอดขายปล่อยมาร์จิ้นโลนของบริษัทจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่ถือว่าไม่น่ากังวล เพราะบริษัทมีการบริหารจัดการที่ดี ซึ่งบริษัทจะปล่อยมาร์จิ้นในหุ้นอยู่ใน SET100 แต่หากนอก SET100 จะพิจารณาปัจจัยพื้นฐานประกอบด้วย และหากติดเทิร์นโอเวอร์ลิสต์จากสำนักงาน ก.ล.ต. ก็จะไม่ปล่อยเช่นกัน
สำหรับปัจจุบันยอดการปล่อยมาร์จิ้นโลนทั้งอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าไม่ได้สูง และไม่น่ากังวล เพราะเมื่อเทียบกับขนาดของมูลค่าตลาดรวม (มาร์เกตแคป) อยู่ที่ระดับ 12.5 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนไม่ได้มาก เมื่อเทียบกับช่วงวิกฤตเมื่อปี 2540 มีการปล่อยมาร์จิ้นโลนในระดับ 1.2 แสนล้านบาท ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับมาร์เกตแคปในขณะนั้นอยู่ในระดับเพียง 3.5 ล้านล้านบาทเท่านั้น
นอกจากนี้ การบริหารจัดการความเสี่ยงของโบรกเกอร์ทำได้ดีกว่าในอดีต โดยจะมีการเปิดเผยข้อมูลร่วมกันถึงจำนวนหุ้นที่ได้ปล่อยมาร์จิ้น หากมีการปล่อยสินเชื่อเกิน 20% ของหุ้นนั้น จะมีการหยุดให้สินเชื่อในหุ้นตัวนั้นๆ
ม.ล.ทองมกุฎ ทองใหญ่ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า มาร์จิ้นโลนของบริษัทในระยะ 1 เดือนแม้ว่าจะมีการเติบโตประมาณ 10% หรือขึ้นมาใกล้ระดับ 1,000 ล้านบาท แต่ถือว่าไม่ได้สูงมากนัก โดยกำหนดเพดานการปล่อยสินเชื่อไว้ไม่ให้เกิน 1,200 ล้านบาท และสามารถขยายวงเงินเพิ่มเป็น 1,800 ล้านบาท แต่ขณะนี้ บริษัทเห็นว่ายังไม่ถึงระดับจะต้องพิจารณาขยายวเงินเพิ่ม
ทั้งนี้ ส่วนตัวเชื่อว่าสภาวะตลาดหุ้นในปัจจุบันไม่เชื่อว่าเกิดฟองสบู่เหมือน 10 ปีก่อนหน้านี้ เพราะพื้นฐานรองรับ และสภาพคล่องที่เข้ามายังเป็นปัจจัยสนับสนุน แต่อยากให้ผู้ลงทุนซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ หากเห็นว่าหุ้นตัวใดราคาขึ้นสูงเกินกว่าการเติบโตของกำไรก็ควรหลีกเลี่ยง อย่าซื้อโดยฟังข่าวลือ โดยบริษัทจะมีหมายเหตุไปยังเจ้าหน้าที่การตลาดเพื่อให้เตือนลูกค้าในหุ้นที่ขึ้นตามข่าวลือ แต่ท้ายที่สุดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของลูกค้า นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะขยายตัวงานวิจัยครอบคลุมหุ้นขนาดกลาง และเล็กมากขึ้น
นายพิเชษฐ์ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง กล่าวว่า ยอดการปล่อยมาร์จิ้นโลนของบริษัทขณะนี้อยู่ในระดับใกล้ 1,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากก่อนหน้านี้อยู่ที่ระดับ 700 ล้านบาท อาจไม่ได้สูงเมื่อเทียบกับโบรกเกอร์อื่น เนื่องจากฐานลูกค้าของบริษัทคนละกลุ่ม และเป็นกลุ่มที่ไม่ได้ใช่มาร์จิ้นโลนในการลงทุน