xs
xsm
sm
md
lg

USคงQEหุ้นพุ่ง23จุด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เฟดยืนยันคงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หนุนหุ้นไทยพุ่ง 23 จุด ตอลดเดือนกุมภาพันธ์ ต่างชาติขายสุทธิ1.7 หมื่นล้านคาดอาจมีการปรับฐานหลังขึ้นแรง เพื่อกำไร ด้าน TSFCระงับสินเชื่อเครดิตบานลานซ์ส่วนเพิ่ม เป็นการชั่วคราว เพื่อป้องกันความเสี่ยง เหตุ หลังยอดการปล่อยมาริ์จิ้นโลนใกล้ถึงระดับที่ก.ล.ต.กำหนด จากปริมาณการซื้อขายหุ้นปัจจุบันปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 5-6 หมื่นล้านบาทต่อวัน

ตลาดหุ้นไทย วานนี้(28ก.พ.) ปรับตัวขึ้นแดนบวกหลังจากลดลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยปิดที่ระดับ 1,541.58 จุด เพิ่มขึ้น 23.53 จุด หรือ 1.55% มูลค่าการซื้อขาย 69,086.09 ล้านบาท ระหว่างวันแตะจุดสูงสุดที่ 1,541.68 จุด และต่ำสุดที่ 1,518.98 จุด

ขณะที่การซื้อขายสุทธิแยกตามประเภทนักลงทุน พบว่า นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 3,818.62 ล้านบาท ถัดมาคือ สถาบัน ซื้อสุทธิ 1,264.55 ล้านบาท ขณะที่ตลอดเดือนกุมภาพันธ์ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 17,387.09 ล้านบาท เช่นเดียวกับบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ขายสุทธิ 837.46 ล้านบาท โดยมีสถาบันซื้อสุทธิ 15,360.37 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 2,864.18 ล้านบาท

นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคระห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย โดยมีปัจจัยหนุนมาจากการกล่าวของนายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ยังยืนยันในการใช้มาตรการ QE เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้ประเด็นการใช้มาตรการ QE ยังคงมีอยู่ และทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯจะปรับตัวดีขึ้น

นางภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมการอำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเชียพลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปัจจัยหลักมาจาก การเดินหน้ามาตรการ QE เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในสหรัฐฯ และประเด็นในประเทศอิตาลีเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งแม้ว่ายังไม่มีความชัดเจน แต่นักลงทุนได้ลดความกังวลลงไปบางส่วน

ทั้งนี้ พบว่า มีแรงหนุนจากหุ้นที่มี earning ออกมา ทำให้มีการปรับประมาณการ Fair Value จึงส่งผลต่อการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน โดยแนวโน้มวันนี้(1มี.ค.) ดัชนีมีโอกาสปรับตัวลง และอาจมีแรงขายทำกำไรออกมา กรอบการลงทุน 1,530-1,550 จุด

**TSFCเบรกปล่อย มาร์จิ้นโลนเพิ่ม
นางสาวเยาวลักษณ์ อร่ามทวีทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (TSFC) เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา บริษัทได้หยุดให้สินเชื่อเครดิตบาลานซ์เเพิ่มเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้นโลน)เป็นการชั่วคราว เนื่องจาก ขณะนี้บริษัทมียอดปล่อยสินเชื่อ ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3,500 ล้านบาท แตะระดับเพดานการเตือน(วอร์นนิ่ง ลิมิท) และใกล้ระดับกับข้อบังคับของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) กำหนดให้TSFCปล่อยมาร์จินได้ไม่เกิน 5 เท่าของเงินกองทุน ซึ่งปัจจุบันมีอยู่จำนวน 1,000 ล้านบาท
ดังนั้นบริษัท จึงจำเป็นต้องระงับการให้สินเชื่อเครดิตบาลานซ์เพิ่มเป็นการชั่วคราว เช่น กรณีลูกค้ามีวงเงินสินเชื่อ ตามสัญยากู้ยืม 30 ล้าบาท มียอดหนี้คงค้าง 10 ล้านบาท ณ เย็นวันที่ 22 กุมภาพันธ์2556 เช้าวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2556 ลูกค้าจะถูกระงับวงเงินสินเชื่อส่วนที่เหลือ 20 ล้านบาทลง เหลือเป็นวงเงินสินเชื่อใหม่เท่ากับ 10 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับยอดหนี้คงค้าง 10 ล้านบาท ณ สิ้นเย็นวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2556 โดยระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2556 กรณีลุกค้าไม่ขายหุ้น ลูกค้าจะไม่สามารถซื้อหุ้นเพิ่มได้ กรณีลูกค้าขายหุ้นไป ลุกค้าจะสามารถซื้อหุ้นเพิ่มได้ แต่ยอดหนี้จะต้องไม่เกินวงเงินสินเชื่อใหม่ที่ 10 ล้านบาท

นางสาวเยาวลักษณ์ กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทได้ระงับการปล่อยมาร์จิ้นโลนสำหรับหุ้นนอกSET100 ซึ่งจะปล่อยหุ้นที่อยู่ในSET 100 เพียง 30 ตัวเท่านั้น เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงเพื่อทำให้การปล่อยมาร์จิ้นไม่กระจุกตัว จากปัจจุบันที่มีการกระจุกตัวแล้ว ซึ่งจากการที่ตนได้หารือกับทางบล.ต่างๆนั้นพบว่า มีการปล่อยมาร์จิ้นที่สูงแล้วทุกคนต้องระวัง ทำให้นักลงทุนหันมาขอสินเชื่อกับทาง TSFC มากขึ้น แม้จะมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า บล.ทั่วไป ทำให้ยอดขายปล่อยสินเชื่อของTSFC เกือบถึงเพดานแล้ว โดยณ สิ้นเดือนมกราคมยอดการปล่อยมาร์จิ้นโลนของทั้งอุตสาหกรรมได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4.9 หมื่นล้านบาท จากสิ้นเดือนธันวาคม 2555 อยู่ที่ 4 หมื่นล้านบาท

สำหรับการปล่อยมาร์จินโลนในช่วง2 เดือนแรกปีนี้ของบริษัททะลุเป้าหมายยอดสินเชื่อคงค้างของปี 2556 ไปแล้ว ซึ่งปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการทบทวนเพิ่มเป้าหมาย ส่วนแผนนำTSFC เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นนั้น เป็นส่วนหนึ่งของแผนเดิมก่อนที่ตนจะเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ม.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งคงแผนดังกล่าวไว้ แต่จะเข้าได้เมื่อไหร่นั้นขึ้นอยู่กับความพร้อม
กำลังโหลดความคิดเห็น