xs
xsm
sm
md
lg

โบรกฯ เซ็งวอลุ่มหุ้นทะลักวันละ 5 หมื่นล้าน แต่รายได้ค่าคอมม์ผันผวน-ลดลง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โบรกฯ คงน้ำหนักลงทุนกลุ่ม บล.น้อยกว่าตลาด ชี้แนวโน้มกำไรเติบโตต่ำ แม้วอลุ่มจะทะลักถึงวันละ 5 หมื่นล้านแต่ค่าคอมม์ซึ่งเป็นรายได้หลักกลับปรับลดลงและมีความไม่แน่นอน แถมผันผวนตามอำนาจการต่อรองสูง ทำให้ความสามารถในการทำกำไรยังไม่มีเสถียรภาพ พร้อมระบุ เคจีไอ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง และเอเซียพลัส ยังเป็นผู้นำตลาดพร้อมระบุโบรกฯ พึ่งค่าคอมม์น้อยลง และหันไปเพิ่มรายได้ค่าฟี และมาร์จิ้น

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส ประเมินมูลค่าการซื้อขาย (วอลุ่ม) ในตลาดหลักทรัพย์ไทยในปีนี้จะยังคึกคักต่อเนื่อง คาดว่าจะมีวอลุ่มอยู่ที่ 3.12 หมื่นล้านบาทต่อวัน ไม่รวมบัญชี บล. เพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อน มีปัจจัยสนับสนุนจาก 1. ภาวะเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องประมาณ 5% 2. สภาพคล่องที่มีจำนวนมหาศาลในตลาดโลก 3. การเมืองมีเสถียรภาพ และ 4. การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่คาดว่าจะโตประมาณ 15.1%

ด้านกำไรสุทธิของกลุ่มหลักทรัพย์ที่บริษัทศึกษาในปีนี้ 3 แห่ง คือ เคจีไอ, เมย์แบงก์ กิมเอ็ง และเอเซียพลัส คาดว่าจะอยู่ที่ 1.94 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อนหน้าที่คาดว่าจะอยู่ที่ 1.8 พันล้านบาท โดยมองว่ารายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (คอมมิชชัน) ของกลุ่มจะปรับเพิ่มขึ้น 6% อิงจากคาดการณ์วอลุ่มซื้อขายที่เพิ่มขึ้น 11% และอัตราค่าคอมมิชชันของกลุ่มที่น่าจะทรงตัวในระดับ 0.15% ได้เพราะเป็นอัตราที่ค่อนข้างต่ำ โดยปัจจัยหนุนต่อกำไรยังมาจากการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ 20% ในปีนี้

ทั้งนี้ หลังจากค่าคอมมิชชันได้เริ่มเปิดให้ต่อรองแบบเสรีในปีที่ผ่านมา พบว่าอัตราค่าคอมมิชชันเฉลี่ยของ บล.ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในงวด 9 เดือนของปีที่ผ่านมาลดลงอยู่ที่ระดับประมาณ 0.162% จากระดับ 0.173% ในปี 2553 ที่เริ่มเปิดเสรีแบบขั้นบันได ขณะที่ก่อนเปิดเสรีค่าคอมม์อยู่ที่ระดับประมาณ 0.25%

ดังนั้นมีแนวโน้มที่ค่าคอมมิชชันจะปรับลงได้อีก และมีโอกาสที่จะปรับลงใกล้เคียงค่าคอมม์ของผู้นำตลาดคือ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ที่มีค่าคอมม์เพียง 0.155% เท่านั้น ซึ่งในระดับนี้ คาดว่าหลาย บล.จะเริ่มเข้าสู่จุดคุ้มทุน อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดเจนว่า บล.มีการพึ่งพิงรายได้จากค่าคอมมิชชันลดลง จากเดิมรายได้ค่าคอมม์มีสัดส่วนประมาณ 60% ของรายได้รวม ลดลงเหลือ 55.7% ในปีที่ผ่านมา ส่วนรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากค่าธรรมเนียม และรายได้จากการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้น)

การลงทุนหุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์นั้นยังคงน้ำหนักการลงทุนน้อยกว่าตลาด (Underweight) จากระดับการเติบโตของกำไรสุทธิที่อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในตลาด สะท้อนแนวโน้มราคาหุ้นที่ปรับน้อยกว่าคาดการณ์ (Under Perform) ขณะที่รายได้ค่าคอมม์ซึ่งเป็นรายได้หลักมีความไม่แน่นอน และผันผวนตามอำนาจการต่อรองสูง ทำให้ความสามารถในการทำกำไรยังไม่มีเสถียรภาพ

ทั้งนี้ ได้เลือก บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เป็นตัวที่น่าลงทุน (Top Pick) ในกลุ่มหลักทรัพย์ จากที่มีแนวโน้มปรับขึ้นสูงที่สุดในกลุ่ม โดยประเมินราคาเหมาะสมที่ 23.30 บาท ส่วนเอเซียพลัส และเคจีไอ แนะนำถือ จากคาดการณ์อัตราการจ่ายเงินปันผลที่น่าสนใจ โดยคาดว่าเอเซียพลัสจะมีอัตราผลตอบแทนประมาณ 7% ต่อปี ส่วนเคจีไอคาดมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลประมาณ 7.1%

ด้านนักวิเคราะห์จาก บล.เอเซียพลัสมองว่าอาจจะมีการทบทวนมุมมองการลงทุนกลุ่มหลักทรัพย์ใหม่ หลังจากการประกาศปี 2555 ซึ่งเดิมทีให้น้ำหนักการลงทุนน้อยกว่าตลาด จากประสิทธิภาพในการทำกำไรของธุรกิจที่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง

แม้ในช่วงต้นปีวอลุ่มเทรดของตลาดอยู่ในระดับสูง แต่เฉลี่ยทั้งปีคงเพิ่มขึ้นไม่มาก บริษัทจึงน่าจะปรับคาดการณ์วอลุ่มเฉลี่ยทั้งปีเพิ่มขึ้น จากเดิมคาดว่าวอลุ่มตลาดไม่รวมบัญชี บล.จะอยู่ที่ 2.8 หมื่นล้านบาทต่อวัน สำหรับแนวโน้มค่าคอมมิชชันมองว่าน่าจะทรงตัว และไม่ปรับลดลงไปกว่านี้แล้ว เนื่องจากปัจจุบันค่าคอมม์อยู่ในระดับต่ำ จากก่อนหน้าที่จะเปิดเสรีอยู่ที่ 0.175% หลังจากเปิดเสรีแล้วอยู่ที่ 0.156-0.157%


กำลังโหลดความคิดเห็น