เมย์แบงก์ อิมเอ็งฯ ประเมินตลาดหุ้นไทยปี 56 คาด SET index มีโอกาสปรับตัวขึ้นไปได้ถึง 1,400-1,450 จุด หรือโตจากปี 55 15-20% สภาพคล่องตลาดการเงินโลกเพิ่มขึ้นเดือนละ 85 พันล้านเหรียญสหรัฐ เชื่อเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นทุกเมื่อ ขณะผลการดำเนินงาน บจ. ที่มีกำไร จะดันดัชนีเพิ่ม แนะลงทุนหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ ให้ปันผลสูง เหตุเศรษฐกิจโลกยังไม่แน่นอน
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึงภาพรวมของตลาดหุ้นไทยในปี 2556 ว่า “ปี 2556 ถือว่าเป็นปีของความท้าท้ายใหม่ รวมถึงโอกาสใหม่สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย” โดยระบุเพิ่มเติมว่า ความท้าทายสำคัญของตลาดหุ้นไทยปี 2555 คือ ความสามารถในการฟื้นตัวของกำไรสุทธิของ บจ.จากภัยน้ำท่วมในปี 2554 ซึ่งพบว่า การฟื้นตัวดีเกินคาดส่งผลให้ SET Index สามารถปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดในรอบ 16 ปีได้สำเร็จ ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
สำหรับความท้าทายในปี 2556 ได้แก่ การเริ่มต้นปี 2556 ด้วยระดับ SET Index ที่ไม่ได้ต่ำเหมือนกับต้นปี 2555 (Forward PER ของต้นปี 56 ประมาณ 12.50 เท่า เทียบกับ Forward PER ของต้นปี 2555 เท่ากับ 10.8 เท่า) ถือเป็นความท้าทายสำคัญที่สุดสำหรับปี 2556 ถึงแม้สภาพคล่องส่วนเกินจะยังคงสามารถผลักดันตลาดฯ ให้ปรับตัวขึ้นไปได้ แต่ในที่สุด นักลงทุนก็จะหันกลับมาพิจารณาปัจจัยพื้นฐานประกอบ นอกจากนี้ หากพิจารณาอัตราผลตอบแทนย้อนหลังของตลาดหุ้นไทย และตลาดหุ้นในเอเชียรวมถึงดัชนี MSCI Asia ex Japan พบว่า ตลาดหุ้นไทยเริ่มกลับมาให้ผลตอบแทนเทียบเท่ากับค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นอาเซียนแล้วในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น การที่ตลาดหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาดหุ้นในเอเชียจึงเป็นสิ่งที่ท้าท้ายซึ่งต้องพิสูจน์ด้วยการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ และการเมืองที่ยั่งยืน
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทย และโอกาสการลงทุนใหม่ในปี 2556 นายสุกิจ กล่าวว่า SET index มีโอกาสปรับตัวขึ้นไปได้ถึง 1400-1450 จุด โดยมีปัจจัยหนุนจากผลการดำเนินงานปี 2556 ที่คาดว่าจะเติบโต 15-20% จากปี 2555 รวมถึงสภาพคล่องในตลาดการเงินโลกที่เพิ่มขึ้นเดือนละ 85 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งพร้อมที่จะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นทุกเมื่อ หากมีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผ่านช่วงไตรมาสที่ 1/56 ซึ่งเป็นช่วงที่รอความชัดเจนในเรื่องเกี่ยวกับมาตรการลดหย่อนภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ (Fiscal cliff) อย่างไรก็ตาม SET index จะสามารถปรับตัวสูงขึ้นเกินเป้าหมายได้หากมีการปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น ส่วนกรอบด้านล่างของ SET Index ประเมินไว้ที่ระดับ 1,240 จุด
ส่วนโอกาสใหม่ของการลงทุนในปี 2556 คือ การลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวกับวัฏจักรของการลงทุนรอบใหม่ของรัฐบาล การบริโภคในเขตที่ไม่ใช่กรุงเทพฯ และปริมณฑล และการลงทุนในธุรกิจที่ต่อเนื่องจากการเกิดขึ้นของใบอนุญาต 3G หลังจากหุ้นที่เกียวข้องกับการบริโภค และมีความปลอดภัยสูง อย่างเช่น หุ้นค้าปลีก โรงพยาบาล ได้มีการปรับตัวขึ้นมามากติดต่อกันหลายปีแล้ว โดยหุ้นเด่นที่จะแนะนำสำหรับปี 2556 ได้แก่ ASK HMPRO KTB LOXLEY MAJOR PS และ SCC
นายสุกิจ ได้กล่าวทิ้งท้ายถึงกลยุทธ์การลงทุนในปี 2556 ว่า ในช่วงไตรมาสที่ 1/56 แนะนำให้นักลงทุนซื้อหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ มีเงินปันผลสูง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังคงมีความไม่แน่นอน สำหรับไตรมาส 2/56 ถือเป็นโอกาสในการซื้อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับวัฏจักรเศรษฐกิจโลกมากขึ้น เช่น หุ้นพลังงาน หุ้นปิโตรเคมี และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีโอกาสการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น ส่งผลให้ความเสี่ยงในการลงทุนในหุ้นดังกล่าวลดลง
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึงภาพรวมของตลาดหุ้นไทยในปี 2556 ว่า “ปี 2556 ถือว่าเป็นปีของความท้าท้ายใหม่ รวมถึงโอกาสใหม่สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย” โดยระบุเพิ่มเติมว่า ความท้าทายสำคัญของตลาดหุ้นไทยปี 2555 คือ ความสามารถในการฟื้นตัวของกำไรสุทธิของ บจ.จากภัยน้ำท่วมในปี 2554 ซึ่งพบว่า การฟื้นตัวดีเกินคาดส่งผลให้ SET Index สามารถปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดในรอบ 16 ปีได้สำเร็จ ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
สำหรับความท้าทายในปี 2556 ได้แก่ การเริ่มต้นปี 2556 ด้วยระดับ SET Index ที่ไม่ได้ต่ำเหมือนกับต้นปี 2555 (Forward PER ของต้นปี 56 ประมาณ 12.50 เท่า เทียบกับ Forward PER ของต้นปี 2555 เท่ากับ 10.8 เท่า) ถือเป็นความท้าทายสำคัญที่สุดสำหรับปี 2556 ถึงแม้สภาพคล่องส่วนเกินจะยังคงสามารถผลักดันตลาดฯ ให้ปรับตัวขึ้นไปได้ แต่ในที่สุด นักลงทุนก็จะหันกลับมาพิจารณาปัจจัยพื้นฐานประกอบ นอกจากนี้ หากพิจารณาอัตราผลตอบแทนย้อนหลังของตลาดหุ้นไทย และตลาดหุ้นในเอเชียรวมถึงดัชนี MSCI Asia ex Japan พบว่า ตลาดหุ้นไทยเริ่มกลับมาให้ผลตอบแทนเทียบเท่ากับค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นอาเซียนแล้วในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น การที่ตลาดหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาดหุ้นในเอเชียจึงเป็นสิ่งที่ท้าท้ายซึ่งต้องพิสูจน์ด้วยการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ และการเมืองที่ยั่งยืน
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทย และโอกาสการลงทุนใหม่ในปี 2556 นายสุกิจ กล่าวว่า SET index มีโอกาสปรับตัวขึ้นไปได้ถึง 1400-1450 จุด โดยมีปัจจัยหนุนจากผลการดำเนินงานปี 2556 ที่คาดว่าจะเติบโต 15-20% จากปี 2555 รวมถึงสภาพคล่องในตลาดการเงินโลกที่เพิ่มขึ้นเดือนละ 85 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งพร้อมที่จะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นทุกเมื่อ หากมีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผ่านช่วงไตรมาสที่ 1/56 ซึ่งเป็นช่วงที่รอความชัดเจนในเรื่องเกี่ยวกับมาตรการลดหย่อนภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ (Fiscal cliff) อย่างไรก็ตาม SET index จะสามารถปรับตัวสูงขึ้นเกินเป้าหมายได้หากมีการปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น ส่วนกรอบด้านล่างของ SET Index ประเมินไว้ที่ระดับ 1,240 จุด
ส่วนโอกาสใหม่ของการลงทุนในปี 2556 คือ การลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวกับวัฏจักรของการลงทุนรอบใหม่ของรัฐบาล การบริโภคในเขตที่ไม่ใช่กรุงเทพฯ และปริมณฑล และการลงทุนในธุรกิจที่ต่อเนื่องจากการเกิดขึ้นของใบอนุญาต 3G หลังจากหุ้นที่เกียวข้องกับการบริโภค และมีความปลอดภัยสูง อย่างเช่น หุ้นค้าปลีก โรงพยาบาล ได้มีการปรับตัวขึ้นมามากติดต่อกันหลายปีแล้ว โดยหุ้นเด่นที่จะแนะนำสำหรับปี 2556 ได้แก่ ASK HMPRO KTB LOXLEY MAJOR PS และ SCC
นายสุกิจ ได้กล่าวทิ้งท้ายถึงกลยุทธ์การลงทุนในปี 2556 ว่า ในช่วงไตรมาสที่ 1/56 แนะนำให้นักลงทุนซื้อหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ มีเงินปันผลสูง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังคงมีความไม่แน่นอน สำหรับไตรมาส 2/56 ถือเป็นโอกาสในการซื้อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับวัฏจักรเศรษฐกิจโลกมากขึ้น เช่น หุ้นพลังงาน หุ้นปิโตรเคมี และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีโอกาสการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น ส่งผลให้ความเสี่ยงในการลงทุนในหุ้นดังกล่าวลดลง