xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นปี 56 เป้า 1,450 จุด กำไร บจ.-เม็ดเงินต่างชาติหนุน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 หุ้นไทยปี 2556 ผันผวนสูง เอ็มดีตลาดหุ้นชูนโยบายลงทุนภาครัฐ และการเติบโตของกำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียน เป็นแรงผลักดันหลักต่อการปรับตัวขึ้นของดัชนี ด้าน “เมย์แบงก์ กิมเอ็ง” เชื่อเม็ดเงินในระบบที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการอัดฉีดของสหรัฐฯ ยังไหลเข้าดัชนีแตะ 1,450 จุด ยกกลุ่มแบงก์ วัสดุกอ่สร้าง รับเหมา และสื่อสาร มีความโดดเด่นน่าลงทุน

    นายจรัมพร โชติกเสถียร  กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)  เปิดเผยว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยในปี 2556 เชื่อว่าน่าจะมีความผันผวนสูงเหมือนกับปีที่ผ่านมา แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เข้ามากระทบ ซึ่งปัจจัยหลักเรื่องวิกฤตหนี้ยุโรปที่ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนในการแก้ไปัญหา และจะต้องใช้เวลาในการกำหนดแนวทาง เพราะการที่จะให้ทั้ง 17 ประเทศยุโรป ให้มีความเห็นตรงกันในการแก้ปัญหานั้นคงเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย   ขณะที่ความเสี่ยงในประเทศนั้นเชื่อว่าไม่น่าจะแตกต่างไปจากปี 2555

    สำหรับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปี 2556 คาดว่าจะมีการเติบโตในระดับที่ดี จากผลต่อเนื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และจากการที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยออกมาแล้วอยู่ในระดับที่ดี จึงเชื่อว่าน่าจะหนุนให้นักลงทุนมีความมั่นใจในการเข้ามาลงทุนตลาดหุ้นไทยในระยะยาว

    
เม็ดเงิน ตปท.-กำไร บจ.ดันดัชนี 1,450
    นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (MBKT) กล่าวถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยว่า ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา ดัชนีหลักทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นมาก ส่วนหนึ่งมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ออกมา ทั้งมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE : Quantitative Easing) และมาตรการ “Operation Twist” หรือการลดสัดส่วนการถือครองตราสารหนี้ระยะสั้น ซึ่งทำให้มีเม็ดเงินในระบบมากขึ้น และส่วนหนึ่งได้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียรวมถึงไทย แม้ยังมีประเด็นที่ต้องติดตามอย่างปัญหาหน้าผาการคลัง (fiscal cliff)

    สำหรับปี 2556 ยังประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยยังปรับตัวบวกขึ้นไปต่อ โดยมี 2 ปัจจัยสนับสนุน นั่นคือ สภาพคล่องในระบบที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ทยอยอัดฉีดเข้ามาจะเริ่มส่งผลให้เห็น และจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2555 อีกประมาณ 20%

    ส่วนหุ้นที่น่าลงทุนในปี 2556 นั้น หัวหน้าฝ่ายวิจัย MBKT กล่าวว่า ส่วนตัวเชื่อว่าหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวกับภาคการลงทุนจะมีความโดดเด่นมากในปีนี้ ซึ่งได้ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มรับเหม่าก่อสร้าง และกลุ่มสื่อสาร

    ขณะที่ปัจจัยลบที่จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีฯ ประเมินว่า ยังมาจากปัจจัยภายนอกประเทศ นั่นคือ สถานกาารณ์เศรษบกิจของสหรัฐฯ และปัญหาหนี้สาธารณะในกลุ่มประเทศยูโรโซน แต่เชื่อว่าจะไม่มีความร้อนแรงเท่ากับ 2-3 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ต้องจับดูมาตรการความช่วยเหลือต่างๆ ที่จะออกมาด้วยว่าเพียงพอรองรับ และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้หรือไม่

    “ปี2556 นักลงทุนหลายรายยังมีความคาดหวังว่าว่าดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นไปอีก ทั้งที่ปัจจุบันเราต้องยอมรับว่าหุ้นไทยขึ้นมากสูงแล้ว เพราะอยู่เหนือ 1,300 จุด ซึ่งในปีนี้ ฝ่ายวิจัยของ MBKT เชื่อว่าดัชนีจะอยู่ที่ประมาณ 1,450 จุด จากปัจจัยสนับสนุนข้างต้น และอาจปรับตัวขึ้นได้อีกหากปัจจัยลบที่มีไม่รุนแรงมากนัก เพราะเราประเมินแบบอนุรักษนิยม ทั้งที่เราเชื่อว่าหลายอุตสาหกรรมของไทยจะเติบโตมากกว่านี้ โดยเฉพาะกลุ่มวัสดุก่อสร้าง” นายสุกิจกล่าว

    ส่วนการเชื่อมโยงตลาดหุ้นในภูมิภาคผ่านอาเซียนลิงก์ฯ หัวหน้าฝ่ายวิจัย กล่าวว่า จะเป็นอีกช่องทางที่ช่วยสร้างความน่าสนใจต่อการลงทุนในหุ้นที่ได้ และเชื่อว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับจำนวนนักลงทุนในภูมิภาคที่จะเข้ามาลงทุนในหุ้นไทย ขณะเดียวกัน ถือว่าเป็นอีกช่องทางการลงทุนที่ช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดี จากจุดแข็งในแต่ละตลาดของภูมิภาคมารวมกัน เช่น สิงคโปร์ มีจุดเด่นที่หลายบริษัททำธุรกิจลงทุนอยู่ในหลายประเทศ ขณะที่มาเลเซีย ธุรกิจด้านพลังงาน ท่องเที่ยว และการเกษตรถือเป็นกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ

    อนึ่งนายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวถึงผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ รวม 22 แห่ง เกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุนปี 2556 ว่า นักวิเคราะห์คาดการณ์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ณ ปลายปี 2556 ไว้ที่เฉลี่ย 1,471 จุด เพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ครั้งก่อนเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2555 ที่คาดว่าดัชนีปลายปี 2556 อยู่ที่ 1,378 จุด หรือเพิ่มขึ้น 93 จุด โดยมองจุดสูงสุดที่ 1,537 จุด และต่ำสุดที่ 1,245 จุด

    ทั้งนี้ ปัจจัยบวกสำคัญมาจากการประเมินว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จะขยายตัวสูงขึ้น รวมทั้งการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงเหลือ 20% การลดอัตราดอกเบี้ยในประเทศลงอีกประมาณ 0.25-0.50% และเชื่อว่าสหรัฐฯ จะแก้ปัญหาหน้าผาการคลังได้ทัน แต่นักลงทุนต่างชาติจะเข้าซื้อสุทธิหุ้นไทย 45,845 ล้านบาท น้อยกว่าปี 2555 ที่ต่างชาติซื้อสุทธิ 67,000 ล้านบาท
 ขณะที่ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่นักวิเคราะห์กังวลมากที่สุดคือ ความเสี่ยงทางการเมืองของไทยซึ่งมีน้ำหนักมากขึ้นจากการสำรวจครั้งก่อน รองลงมาคือ ปัญหาในยูโรโซน และปัญหาในสหรัฐอเมริกา อีกทั้งประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2556 ที่เฉลี่ย 4.6%

 
    
    
กำลังโหลดความคิดเห็น