ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ เตือนนักลงทุนลงทุนระมัดระวังการลงทุน พิจารณาการลงทุนจากปัจจัยพื้นฐาน หลังจากดัชนีตลาดหุ้นไทยขึ้นแตะ 1.4 พันจุด หุ้นหลายบริษัท P/E สูงกว่า 40 เท่า เผยเหตุดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้พุ่งปิดเกือบ 15 จุด เหตุแรงซื้อนักลงทุนสถาบันทั้งใน และต่างประเทศหนุน เนื่องจากการปรับพอร์ตเพื่อปิดสถานะซื้อขายสัญญาล่วงหน้าที่หมดอายุสิ้นไตรมาส
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแตะที่ 1,400 จุด เพิ่มขึ้น 36.57% จากสิ้นปีก่อนที่ดัชนี 1,025.32 จุด ค่า P/E ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงซึ่งถือว่าเต็มมูลค่าแล้ว โดยสาเหตุเนื่องจากเม็ดเงินสภาพคล่องในตลาดโลกขณะนี้มีอยู่จำนวนมากไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียจากที่ให้ผลตอบแทนที่สูง ซึ่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย แต่จากที่ปัจจุบันที่ค่า P/E ตลาดหุ้นไทยขึ้นสูงอยู่ในระดับใกล้เคียงจากภูมิภาคแล้วนั้น ซึ่งการลงทุนจากนี้นักลงทุนต้องระมัดระวังการลงทุนจากเม็ดเงินต่างประเทศจะมีการไหลเข้าออกเร็ว จึงต้องติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ การที่ราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) หลายแห่งปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้ค่า P/E สูงกว่า 40 เท่านั้น แสดงว่า บจ.จะต้องมีกำไรเติบโตปีละ 30-40% โดยการเข้าไปลงทุนนั้นนักลงทุนต้องประเมินว่า บจ.นั้นสามารถที่จะทำได้หรือไม่ โดยจะต้องมีการสอบถามข้อมูลจากนักวิเคราะห์ และผู้แนะนำในการลงทุน และต้องระมัดระวังการลงทุน เพราะราคาหุ้นได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงแล้ว
“การตัดสินใจในการลงทุนจากนี้นักลงทุนต้องพิจารณาการลงทุนจากปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งเมื่อต้นปีดัชนี 1,036 จุด นั้น การที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากจากการที่ บจ.มีกำไรเกิจโตดี มีพื้นฐานรองรับ แต่ดัชนีที่ขึ้นมาแตะ 1,400 จุดนั้น มีค่า P/E ที่เต็มมูลค่าแล้ว และอีกเรื่องที่ ผมไม่สบายใจคือ หุ้นหลายบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง P/E เกิน 40 เท่าแล้ว ซึ่งการเข้าลงทุนนักลงทุนต้องพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบ ต้องมีการสอบถามนักวิเคราะห์ เจ้าหน้าที่การตลาด และผู้รู้ เพราะการที่ P/E สูงนั้นแสดงว่า บริษัทจะต้องมีกำไรเติบโตที่สูงเช่นกัน” นายจรัมพรกล่าว
นายจรัมพร กล่าวถึงสาเหตุที่ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) เมื่อวานนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม 2555) ปิดปรับตัวสูงขึ้นกว่าตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค โดยปิดปรับเพิ่มขึ้น 1.08% หรือ 14.96 จุด อยู่ที่ 1,397.19 จุดนั้น ปัจจัยสำคัญมาจากแรงซื้อจากผู้ลงทุนสถาบันทั้งใน และต่างประเทศ โดยเฉพาะผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ ประเภทกองทุนที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี (Long-Term Equity Fund: LTF และ Retirement Mutual Fund: RMF) ซึ่งวานนี้มีผู้ลงทุนสถาบันภายในประเทศซื้อสุทธิ 2,342 ล้านบาท ขณะที่ผู้ลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 2,544 ล้านบาท นอกจากนี้ แรงซื้อยังเป็นผลมาจากการปรับพอร์ตการลงทุนของผู้ลงทุนสถาบันทั้งใน และต่างประเทศเพื่อปิดสถานะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าที่หมดอายุลงในช่วงสิ้นไตรมาสนี้
อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนควรใช้ความระมัดระวังในการซื้อขาย และติดตามข้อมูลสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อการซื้อขาย เพื่อประกอบการตัดสินใจในการลงทุน