xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นไทยแรง-P/Eสูงจัด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน – โบรกเกอร์ประเมินแนวโน้มทางเทคนิคตลาดหุ้นไทยช่วงที่เหลือของปี อยู่ในขั้นเสี่ยงหลังดัชนีปรับตัวสูงจัด ค่าP/E ขยับขึ้นมากว่า 15 เท่า มากกว่าช่วงอดีตที่อยู่ในระดับ 12-14 เท่า “เคจีไอ”ระบุดัชนีเข้าใกล้เป้าหมายปีหน้าที่1,398 จุดอย่างเร็วจัด ทำให้ช่วงที่เหลือของปีการปรับตัวขึ้นจะเป็นไปอย่างจำกัด “เอเซียพลัส” เตือนจับตาPorp Trade ขายทำกำไรหลังซื้อสะสมไว้เยอะ ส่วนเม็ดเงินต่างชาติยังไหลเข้าต่อ แนะลงทุนหุ้นปันผลสูง แนวโน้มผลดำเนินงานดีเพื่อลดความเสี่ยง

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงธันวาคมนี้ ว่า ดัชนีมีความเสี่ยงปรับตัวลดลงหลุด 1,212 จุด หรือช่วงมีค่าP/E 14.50 เท่า ขณะเดียวกันก็มีโอกาสปรับตัวขึ้นไปได้อีกเมื่อเหนือ 1,337 จุด หรือที่ค่าP/E 16 เท่า ภาพรวมดัชนี ณ ปัจจุบัน เข้าใกล้มูลค่าปี 2556 ที่ 1,398.81 จุด ทำให้ประเมินว่า แรงผลักทางขึ้นสิ้นปีในราคาหุ้นอาจจำกัด และอาจมีแรงขายปรับฐานทางลงได้ โดยคาดหวังกรอบดัชนีสิ้นปี 2555 อาจปิดที่กรอบ P/E 14.50-15.50 เท่า หรือ
1,224-1,309 จุด

“ในเชิงเส้นกราฟ หากดัชนี SET ขึ้นยืนเหนือแนวต้าน 1,299 จุด จะผลักราคาขึ้นปิดปี 2555 ในกรอบ 1,299-1,340 จุด แต่หากดัชนี SET ยืนในระดับต่ำกว่าแนวต้าน 1,299 จุด จะอยู่ในทางลงมาปิดปีที่กรอบ1,299-1,225 จุด และเมื่ออิงปัจจัยเชิงเส้นกราฟ โดยให้ความสำคัญที่ 1,300 จุด จะประเมินได้ว่า หาก SET ยืนเหนือระดับ 1,300 จุด เราคาดหวังแรงผลักราคาขึ้นต่อเนื่องในกรอบ 1,300-1,340 จุด แต่หากในเดือนสุดท้ายของปี2555 นี้ ดัชนียืนในระดับต่ำกว่า 1,300 จุด เราคาดหวังแรงขายปลายปี อาจกดดัชนี SET ให้ลดลงได้ต่อเนื่องอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในเดือนนี้คือ เหนือ 1,300 จุด ให้ซื้อ… ต่ำกว่าให้ขาย”

สำหรับ ปัจจัยและแนวโน้มดัชนีในเดือนนี้ บล.เคจีไอ ให้ความสำคัญต่อ 3 ปัจจัย คือ เดือนธันวาคม 2555 คือ 1. แรงขายต่างชาติเพื่อสภาพคล่องสิ้นปี (Foreign Liquidity Sell) ในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติซื้อสะสมสุทธิปี 2555 สูงสุดที่ 8.4 หมื่นล้านบาทในเดือนเมษายน เริ่มขายรอบสองในปีนี้ คือ ตุลาคมและพฤศจิกายน ทำให้คาดว่าธันวาคม ยังมีแรงขายของนักลงทุนต่างชาติอาจต่อเนื่อง ซึ่งตัวเลขการซื้อสุทธิในปัจจุบันของรนักลงทุนต่างชาติอยู่ที่ 3.6 หมื่นล้านบาท ถือเป็นปัจจัยลบต่อตลาดสิ้นปี

2. ดัชนี ต่อมูลค่าที่ควรเป็นในปี 2555 ในปี 2555 ซึ่ง บล.เคจีไอ ประเมินดัชนีที่ 1,152.70 จุด และปี 2556 ประเมิน 1,398.81 จุด ณ ดัชนีปัจจุบันที่ 1290.85 จุด สูงกว่ามูลค่าปี 2555 ที่ 1,152.70 จุดอยู่ 12.0% แต่ต่ำกว่ามูลค่า 1,398.81 จุดอยู่ 7.7%

3. สิ้นปี 2555 ดัชนีปิดปีดีดขึ้น หรือปิดปีลดลง เพราะโดยภาสพรวมในปัจจุบัน บล.เคจีไอ เชื่อสิ้นปีนี้ดัชนี จะปิดที่ 1,290.85 จุด เข้าใกล้มูลค่าปี2556 ที่ 1,398.81 จุด โดยประเมินว่าแรงผลักทางขึ้นสิ้นปีในราคาหุ้นอาจเป็นไปอย่างจำกัด และอาจมีแรงขายปรับฐานทางลงได้

ด้าน บล.เอเซียพลัส ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยว่า การดีดตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วของดัชนี ทำให้ค่า PER กลับขึ้นมาแตะระดับ 15 เท่าอีกครั้ง ซึ่งสูงกว่าปกติ และทำให้ความเสี่ยงในการลงทุนปรับสูงขึ้นไปด้วย กลยุทธ์การลงทุนจึงเน้นแบบปลอดภัยไว้ก่อน เลือกหุ้น High Dividend Yield
สำหรับ Fund Flow ไหลทะลักเข้าสู่ตลาดหุ้นเอเซียด้วยยอดซื้อสุทธิสูงที่สุดในรอบกว่า 2 เดือน รวม 783 ล้านเหรียญฯ โดยนักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อสุทธิครบทั้ง 4 ประเทศ เริ่มต้นจาก ไต้หวัน มากที่สุด 510 ล้านเหรียญฯ ไทย 126 ล้านเหรียญฯ เกาหลีใต้ 91 ล้านเหรียญฯ และอินโดนีเซีย 56 ล้านเหรียญฯ ทำให้ยอดซื้อสุทธิหุ้นไทยตั้งแต่ Fund Flow เข้ามาเมื่อ 29 พ.ย.2554อยู่ที่ระดับ 7.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่า ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากแรงซื้อเพื่อปรับพอร์ตดัชนี MSCI Global Standard ซึ่งจะเริ่มคำนวณรอบใหม่

นอกจากนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า นักลงทุนต่างชาติเปิดสถานะ Long สุทธิในตลาดฟิวเจอร์สของไทยมากถึง 6,859 สัญญา สูงสุดในรอบปีนี้ หนุนให้สถานะของในเดือน พ.ย. เป็นการ Long สุทธิรวมสูงถึง 10,278 สัญญา มากที่สุดนับตั้งแต่ เดือน ต.ค.2554 ซึ่งมีการ Long สุทธิรวม 12,823 สัญญา ขณะที่ อีกประเด็นที่น่าจับตามองคือ การซื้อสุทธิต่อเนื่องของบัญชีหลักทรัพย์ (Prop Trade) 5 วันติดต่อกัน รวม 4.4 พันล้านบาท โดยทั่วไป พฤติกรรมของนักลงทุนกลุ่มนี้ มักซื้อขายระยะสั้น ดังนั้น อาจเห็นการขายทำกำไรของ Prop Trade ในเร็ววันนี้

อีกทั้ง การปรับตัวขึ้นมาแรงทะลุจุด High เดิม ทำให้ SET Index กลับขึ้นมาอยู่ที่ระดับเหนือค่า PER 15 เท่า อึกครั้งหนึ่ง (Current PER 15.14 เท่า, แต่หากพิจารณาที่ PER 15 เท่า ณ สิ้นปี 2555 จะให้ค่า SET Index ที่ 1,325 จุด) ซึ่งระดับดังกล่าวถือเป็นระดับที่สูงกว่าภาวะปกติที่ตลาดหุ้นไทยมักจะซื้อขายอยู่ในกรอบ PER 12 – 14 เท่า ทำให้ระดับความเสี่ยงสำหรับการลงทุนปรับสูงขึ้น

ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมในช่วงนี้ จึงเน้นการกำหนดแบบปลอดภัยไว้ก่อน ซึ่งหุ้นที่เหมาะสมที่สุดควรเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนในรูปเงินปันผลสูง (ซึ่งในขณะเดียวกันก็มักจะเป็นหุ้นที่มีค่า PER ต่ำไปในตัว) และ ขณะเดียวกันก็มีแนวโน้มผลประกอบการที่ดีเป็นองค์ประกอบด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น