บล.กสิกรไทย ประเมินปีหน้าหุ้นไทย 1,500 จุด แต่ไม่ราบรื่นนัก ภาพรวมเชื่อเหตุการณ์ต่างๆ ไม่เลวร้ายลงไปกว่านี้ คาด P/E ตลาดอยู่ที่ 13 เท่า กำไรบริษัทจดทะเบียนโต 15% ชี้นโยบายภาครัฐยังหนุนการบริโภคระดับรากหญ้าเติบโต ส่งผลดีต่อภาคเอกชน ขณะที่วานนี้ (13 พ.ค.) ต่างชาติทิ้งหุ้นไทยเกือบ 4 พันล้าน กดดัชนีหุ้นร่วง 5.43 จุด
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทย ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกต่อจากนี้ยังมีความเสี่ยง แต่จะไม่หนักมากนัก ไม่เหมือนคราววิกฤตสหรัฐฯ คือไม่ปรับตัวลงอย่างรุนแรง โดยรวมเศรษฐกิจไทยยังไปได้ต่อ ตัวเลขหนี้สาธารณะในปัจจุบันยังอยู่ในระดับน้อย ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังเติบโตอยู่ คาดว่าในปี 2556 มีโอกาสได้เห็นดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นไปถึง 1,500 จุดได้ แต่จะไม่ราบรื่นมากนัก
“ในปีหน้า P/E ตลาดหุ้นจะอยู่ประมาณ 13 เท่า ขณะที่อัตราการเติบโตด้านกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนจะอยู่ที่ประมาณ 15% โดยรวมผมยังมองว่ากลุ่มธุรกิจที่ยังโดดเด่น ได้แก่ กลุ่มคอนซูเมอร์ หรือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคของประชาชน เพราะในปี 2556 เศรษฐกิจโลกยังไม่เติบโตเท่าไร จากปัจจัยลบที่ยังมีอยู่ ดังนั้น เป็นหน้าที่ของภาครัฐ และเอกชนที่จะต้องกระตุ้นการบริโภคของประชาชน ซึ่งปัจจุบัน อัตราการจ้างงานของไทยยังอยู่ในระดับสูง ตัวเลขการว่างงานของประเทศอยู่ที่ 0.9% ถือว่าต่ำมาก เมื่อเทียบกับสเปนที่กำลังมีปัญาหา นอกจากนี้ ปีหน้าจะมีการปรับค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ ยิ่งจะเป็นปัจจัยกระตุ้นการบริโภคที่ดี โดยหากการบริโภคระดับรากหญ้ามีการเติบโตสูงก็จะส่งผลดีต่อภาคเอกชน”
ขณะเดียวกัน ภาพรวมมองว่า ปัจจุบัน บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลายแห่ง เริ่มหันมาให้ความสนใจเข้าทำตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น เพราะมองว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพ มีการนำเสนอสินค้าแบบใหม่ และการทำกิจกรรมการตลาดในต่างจังหวัดมากขึ้น ส่วนปี 2556 เชื่อว่ากระแสการเปิดเสรีเออีซี จะเข้ามาสร้างความน่าสนใจให้แก่ตลาดทุน ซึ่งในช่วงแรกที่มีการเชื่อมโยงตลาดอยู่ขณะนี้ หุ้นของไทยจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนในภูมิภาคแน่
ด้านนายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ สายงายจัดการเงินลงทุนบุคคล บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกใกล้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว แต่ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะเกิดจุดกลับตัวเพื่อปรับขึ้นมาได้ในช่วงไหน เพราะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ทั้งในไตรมาส 4 ปีนี้ หรือไตรมาส 1-2 ในปี 2556 แต่โดยรวมเชื่อว่าจากปัจจัยลบที่มีอยู่ในขณะนี้ไม่น่าจะกดดันให้เศรษฐกิจโลกปรับลงไปได้อีกมากนัก ขณะเดียวกัน ในปัจจุบันเม็ดเงินในระบบยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเม็ดเงินเหล่านี้ยังต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง เช่น หุ้นเพื่อให้ได้มาซึ่งผลตอบแทนในระดับสูง ซึ่งจะทำให้ความน่าสนใจของตลาดหุ้นยังมี รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย
ผวาหนี้กรีซ-หน้าผาการคลังหุ้นร่วง 5.43 จุด
ขณะที่ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นล่าสุด วานนี้ (13 พ.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงสอดคล้องกับตลาดหุ้นภูมิภาค โดยปรับตัวละลงแตะระดับต่ำสุด 1,283.70 จุด สูงสุด 1,293.15 จุด ก่อนจะปิดที่ระดับ 1,289.07 จุด ลดลง 5.43 จุด หรือ 0.42% มูลค่าการซื้อขาย 38,857.70 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 3,921.63 ล้านบาท ทั้งนี้มีปัจจัยจากนักลงทุนยังคงกังวลต่อปัญหาหนี้กรีซ และหน้าผาการคลัง (Fiscal Cliff) ของสหรัฐฯ
ปี 55 บล.กสิกรฯ กำไรโต 20% แม้สาขาเปิดดีเลย์
น.ส.ณัฐรินทร์ ตาลทอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.กสิกรไทย กล่าวว่า กำไรจากการดำเนินงานของบริษัท ณ ปัจจุบันเติบโตขึ้นกว่าในปีก่อนแล้ว 20% จากทุกธุรกิจของบริษัท ทั้งในด้านโบรกเกอร์ อนุพันธ์ วาณิชธนกิจ แม้การขยายเพิ่มสาขาใหม่จะล่าช้าออกไปจากเป้าที่เคยตั้งไว้ ภายในไตรมาส 1 ปี 55 จะมีสาขาทั้งสิ้น 51 สาขา จากปี 2554 ที่มีอยู่ 28 สาขา
“เราเชื่อว่านอกจากความล่าช้าจากการเปิดสาขาใหม่ไม่้เป็นไปตามที่ตั้งเป้าไว้ ภาพรวมวอลุ่มเทรดในตลาดหุ้นก็ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่เราคาดการณ์ไว้ที่ 34,000 ล้านบาท/ปี โดยอยู่ที่ 31,000 ล้านบาท/ปี แต่ถือว่าเป็นที่น่าพอใจเพราะกำไรจากการดำเนินงานของเรายังโตขึ้นจากปีก่อนถึง 20% เป้าหมายต่อไปของเราคือ การเดินหน้าเพื่อขึ้นเป็นบริษัทหลักทรัพย์อันดับ 1 ของประเทศจากปัจจุบันอยู่ที่ 1 ใน 3 ของบริษัทหลักทรัพย์รายใหญ่ โดยมีส่วนแบ่งการตลาด 6-7% อีกทั้งในปีนี้ บัญชีลูกค้าของเราเพิ่มขึ้นือีก 8,000 บัญชี เป็น 33,000 บัญชี และเรายังจะรุกขยายฐานบัญชีซึ่งเป็นลูกค้าของธนาคารกสิกรไทยต่อไป เพราะมองว่ายังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก” น.ส.ณัฐรินทร์กล่าว
ขณะเดียวกัน ในวานนี้ (13 พ.ย.) บล.กสิกรไทย ได้ร่วมกับ บล.แมคควอรี่ (ประเทศไทย) จัดงาน “KS Present The Money Me Show ตอน THE DEBATE” ขึ้น เพื่อให้สาระความรู้การลงทุนให้แก่นักลงทุนที่เป็นลูกค้าบริษัท และนักลงทุนที่สนใจ โดยเนื้อหาการนำเสนอจะครอบคลุมการวิเคราะห์เจาะลึกมุมมองเศรษฐกิจโลก เอเชีย และประเทศที่จะเกิดขึ้นในปี 2556 ต่อเนื่องไปด้วยหุ้นเด่นของบริษัทที่มีเรื่องราวน่าจับตามอง ในวันที่ 29 พ.ย.นี้ เวลา 17.30 น. ณ โรงภาพยนตร์สยามภาวลัย รอยัล แกรนด์ เธียเตอร์ ชั้น 6 ศูนย์การค้าสยามพารากอน จำนวน 1,000 ที่นั่ง พร้อมกันนี้ ยังเตรียมถ่ายทอดสดผ่านระบบดาวเทียมให้ลูกค้าในต่างจังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ อุดรธานี ชลบุรี และภูเก็ต ได้รับชมไปพร้อมๆ กันด้วย
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทย ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกต่อจากนี้ยังมีความเสี่ยง แต่จะไม่หนักมากนัก ไม่เหมือนคราววิกฤตสหรัฐฯ คือไม่ปรับตัวลงอย่างรุนแรง โดยรวมเศรษฐกิจไทยยังไปได้ต่อ ตัวเลขหนี้สาธารณะในปัจจุบันยังอยู่ในระดับน้อย ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังเติบโตอยู่ คาดว่าในปี 2556 มีโอกาสได้เห็นดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นไปถึง 1,500 จุดได้ แต่จะไม่ราบรื่นมากนัก
“ในปีหน้า P/E ตลาดหุ้นจะอยู่ประมาณ 13 เท่า ขณะที่อัตราการเติบโตด้านกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนจะอยู่ที่ประมาณ 15% โดยรวมผมยังมองว่ากลุ่มธุรกิจที่ยังโดดเด่น ได้แก่ กลุ่มคอนซูเมอร์ หรือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคของประชาชน เพราะในปี 2556 เศรษฐกิจโลกยังไม่เติบโตเท่าไร จากปัจจัยลบที่ยังมีอยู่ ดังนั้น เป็นหน้าที่ของภาครัฐ และเอกชนที่จะต้องกระตุ้นการบริโภคของประชาชน ซึ่งปัจจุบัน อัตราการจ้างงานของไทยยังอยู่ในระดับสูง ตัวเลขการว่างงานของประเทศอยู่ที่ 0.9% ถือว่าต่ำมาก เมื่อเทียบกับสเปนที่กำลังมีปัญาหา นอกจากนี้ ปีหน้าจะมีการปรับค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ ยิ่งจะเป็นปัจจัยกระตุ้นการบริโภคที่ดี โดยหากการบริโภคระดับรากหญ้ามีการเติบโตสูงก็จะส่งผลดีต่อภาคเอกชน”
ขณะเดียวกัน ภาพรวมมองว่า ปัจจุบัน บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลายแห่ง เริ่มหันมาให้ความสนใจเข้าทำตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น เพราะมองว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพ มีการนำเสนอสินค้าแบบใหม่ และการทำกิจกรรมการตลาดในต่างจังหวัดมากขึ้น ส่วนปี 2556 เชื่อว่ากระแสการเปิดเสรีเออีซี จะเข้ามาสร้างความน่าสนใจให้แก่ตลาดทุน ซึ่งในช่วงแรกที่มีการเชื่อมโยงตลาดอยู่ขณะนี้ หุ้นของไทยจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนในภูมิภาคแน่
ด้านนายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ สายงายจัดการเงินลงทุนบุคคล บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกใกล้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว แต่ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะเกิดจุดกลับตัวเพื่อปรับขึ้นมาได้ในช่วงไหน เพราะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ทั้งในไตรมาส 4 ปีนี้ หรือไตรมาส 1-2 ในปี 2556 แต่โดยรวมเชื่อว่าจากปัจจัยลบที่มีอยู่ในขณะนี้ไม่น่าจะกดดันให้เศรษฐกิจโลกปรับลงไปได้อีกมากนัก ขณะเดียวกัน ในปัจจุบันเม็ดเงินในระบบยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเม็ดเงินเหล่านี้ยังต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง เช่น หุ้นเพื่อให้ได้มาซึ่งผลตอบแทนในระดับสูง ซึ่งจะทำให้ความน่าสนใจของตลาดหุ้นยังมี รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย
ผวาหนี้กรีซ-หน้าผาการคลังหุ้นร่วง 5.43 จุด
ขณะที่ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นล่าสุด วานนี้ (13 พ.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงสอดคล้องกับตลาดหุ้นภูมิภาค โดยปรับตัวละลงแตะระดับต่ำสุด 1,283.70 จุด สูงสุด 1,293.15 จุด ก่อนจะปิดที่ระดับ 1,289.07 จุด ลดลง 5.43 จุด หรือ 0.42% มูลค่าการซื้อขาย 38,857.70 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 3,921.63 ล้านบาท ทั้งนี้มีปัจจัยจากนักลงทุนยังคงกังวลต่อปัญหาหนี้กรีซ และหน้าผาการคลัง (Fiscal Cliff) ของสหรัฐฯ
ปี 55 บล.กสิกรฯ กำไรโต 20% แม้สาขาเปิดดีเลย์
น.ส.ณัฐรินทร์ ตาลทอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.กสิกรไทย กล่าวว่า กำไรจากการดำเนินงานของบริษัท ณ ปัจจุบันเติบโตขึ้นกว่าในปีก่อนแล้ว 20% จากทุกธุรกิจของบริษัท ทั้งในด้านโบรกเกอร์ อนุพันธ์ วาณิชธนกิจ แม้การขยายเพิ่มสาขาใหม่จะล่าช้าออกไปจากเป้าที่เคยตั้งไว้ ภายในไตรมาส 1 ปี 55 จะมีสาขาทั้งสิ้น 51 สาขา จากปี 2554 ที่มีอยู่ 28 สาขา
“เราเชื่อว่านอกจากความล่าช้าจากการเปิดสาขาใหม่ไม่้เป็นไปตามที่ตั้งเป้าไว้ ภาพรวมวอลุ่มเทรดในตลาดหุ้นก็ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่เราคาดการณ์ไว้ที่ 34,000 ล้านบาท/ปี โดยอยู่ที่ 31,000 ล้านบาท/ปี แต่ถือว่าเป็นที่น่าพอใจเพราะกำไรจากการดำเนินงานของเรายังโตขึ้นจากปีก่อนถึง 20% เป้าหมายต่อไปของเราคือ การเดินหน้าเพื่อขึ้นเป็นบริษัทหลักทรัพย์อันดับ 1 ของประเทศจากปัจจุบันอยู่ที่ 1 ใน 3 ของบริษัทหลักทรัพย์รายใหญ่ โดยมีส่วนแบ่งการตลาด 6-7% อีกทั้งในปีนี้ บัญชีลูกค้าของเราเพิ่มขึ้นือีก 8,000 บัญชี เป็น 33,000 บัญชี และเรายังจะรุกขยายฐานบัญชีซึ่งเป็นลูกค้าของธนาคารกสิกรไทยต่อไป เพราะมองว่ายังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก” น.ส.ณัฐรินทร์กล่าว
ขณะเดียวกัน ในวานนี้ (13 พ.ย.) บล.กสิกรไทย ได้ร่วมกับ บล.แมคควอรี่ (ประเทศไทย) จัดงาน “KS Present The Money Me Show ตอน THE DEBATE” ขึ้น เพื่อให้สาระความรู้การลงทุนให้แก่นักลงทุนที่เป็นลูกค้าบริษัท และนักลงทุนที่สนใจ โดยเนื้อหาการนำเสนอจะครอบคลุมการวิเคราะห์เจาะลึกมุมมองเศรษฐกิจโลก เอเชีย และประเทศที่จะเกิดขึ้นในปี 2556 ต่อเนื่องไปด้วยหุ้นเด่นของบริษัทที่มีเรื่องราวน่าจับตามอง ในวันที่ 29 พ.ย.นี้ เวลา 17.30 น. ณ โรงภาพยนตร์สยามภาวลัย รอยัล แกรนด์ เธียเตอร์ ชั้น 6 ศูนย์การค้าสยามพารากอน จำนวน 1,000 ที่นั่ง พร้อมกันนี้ ยังเตรียมถ่ายทอดสดผ่านระบบดาวเทียมให้ลูกค้าในต่างจังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ อุดรธานี ชลบุรี และภูเก็ต ได้รับชมไปพร้อมๆ กันด้วย