xs
xsm
sm
md
lg

สยาม พี.ซี.เอส.ชูก่อสร้างสำเร็จรับมือ AEC

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สยาม พี.ซี.เอส.พร้อมรับมือเปิด AEC ผนึกกำลังกลุ่มบริษัทในเครือให้บริการงานก่อสร้างอาคาร ออกแบบโรงงานกึ่งสำเร็จรูปและขนาดใหญ่แบบครบวงจร มั่นใจไทยจะเป็นศูนย์กลางโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์เตรียมพร้อมเต็มที่ลุยตลาดทั้งในและต่างประเทศ ชูกลยุทธ์ทำตลาดเชิงรุก พร้อมเสริมทีมบุคลากรและสร้างทีมงานแบบมืออาชีพ คาดปี 56 ผลประกอบการโต 100%

นายสายชล บุญเกิด  ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สยาม พี.ซี.เอส. จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านงานก่อสร้างอาคารโรงงานและงานออกแบบโรงงานกึ่งสำเร็จรูปและโรงงานขนาดใหญ่  เปิดเผยว่า จากการที่ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 ซึ่งถือว่าเป็นทั้งโอกาสและอุปสรรคของการดำเนินธุรกิจของคนไทย ในด้านโอกาสทางธุรกิจนั้น บริษัทมองว่าจะทำให้ตลาดมีขนาดใหญ่ขึ้น จากการขยายตัวของธุรกิจในด้านต่างๆ การเข้ามาลงทุนของชาวต่างชาติ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งเชื่อว่าในประเทศไทยจะกลายเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ ทำให้ต้องมีการก่อสร้างโรงงานเพิ่มมากขึ้น โรงงานสำเร็จรูปจะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นตามมาด้วย เพราะใช้ทักษะของแรงงานน้อยลง และจะเน้นไปยังระบบของเครื่องจักร

สำหรับบริษัทถือได้ว่ามีความเชี่ยวชาญทางด้านงานก่อสร้างอาคาร การออกแบบโรงงานกึ่งสำเร็จรูปและโรงงานขนาดใหญ่มากว่า 25 ปี มีลูกค้าทั้งกลุ่มบริษัทคนไทยและต่างชาติ เช่น VALEO COMPRESSER (THAILAND) CO., LTD , PLAXEL GROUP CHUO THAI CABLE CO., LTD (CTC) KAWASAKI MOTOR ENTERPRISE (THAILAND) CO., LTD, SIAM HYDORLIC และ HP HEWLETT-PACKARD(THAILAND) CO., LTD เป็นต้น ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าในกลุ่มญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นลูกค้าหลักสำคัญกลุ่มหนึ่งของบริษัท นอกจากนี้บริษัทยังมีบริษัทในเครือที่ช่วยเสริมสร้างศักยภาพการดำเนินธุรกิจที่สามารถให้บริการได้ครบวงจร ได้แก่ บริษัท แฟคโกลว์ จำกัด (FAC GLOW) ดำเนินธุรกิจการออกแบบอาคาร งานก่อสร้างทุกชนิด บริษัท เทรดโกลว์ จำกัด (TRADE GLOW) ดำเนินธุรกิจ ด้านตัวแทนจำหน่ายออกแบบและติดตั้งโครงสร้าง และบริษัท ฟลอร์โกลว์ จำกัด (FLOOR GLOW) ดำเนินธุรกิจด้านงานพื้นคอนกรีต บริษัท มีโกลว์ จำกัด (ME GLOW) ดำเนินธุรกิจด้านงานเครื่องกล งานไฟฟ้า และการสื่อสาร

ด้านการเตรียมความพร้อมที่จะรับมือกับการเปิด AEC นั้น บริษัทได้มีการพัฒนาบุคลากรและเสริมศักยภาพด้านต่างๆ โดยเฉพาะการเสริมทักษะในด้านภาษาอังกฤษ และเพิ่มความรู้ด้านต่างๆ ที่จำเป็น เช่น ความรู้เกี่ยวกับการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เป็นต้น การร่วมมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับกลุ่มบริษัทคนไทย เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ เช่น บริษัท พิโด้ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (PIDO INTERNATIONAL) ผู้มีความชำนาญการเกี่ยวกับด้านติดตั้งระบบ บริษัท ทรู อาร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (2R ENGINEERING) บริษัท เอลบรุส จำกัด และบริษัท เอนไลต์เทน จำกัด ผู้มีความชำนาญในด้านการออกแบบงานโครงสร้างอาคาร และควบคุมงานก่อสร้าง และบริษัทต่างประเทศที่ติดต่อ เช่น บริษัท SR FIBER CO, LTD ผู้มีความชำนาญการเกี่ยวกับคอนกรีต STEEL FIBER ซึ่งต่อมาเราได้พัฒนามาเป็นแบรนด์ FLOOR GLOW นอกจากนี้บริษัทยังมองหาพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เวียดนาม มาเลเซีย เป็นต้น

“การเปิดตลาดอาเซียน แน่นอนว่าในส่วนของการทำงานจะมีการแข่งขันกันมากขึ้นในอนาคต แต่เราถือว่าเป็นโอกาสที่ดีเพราะการแข่งขันยิ่งมากตลาดก็ยิ่งเปิดกว้างขึ้นสำหรับเรา ทางเราเองพยายามที่จะพัฒนาความร่วมมือกลุ่มบริษัทคนไทย เพื่อการไปสู่ประชาคมอาเซียนร่วมกัน และการหาพันธมิตรใหม่ๆ ด้วย เราคิดว่าโรงงานกึ่งสำเร็จรูปต่อไปจะได้รับความนิยมและได้รับการยอมรับมากขึ้น เพราะจะเกิดการไหลเวียนของแรงงาน พนักงานระดับต่างๆ รวมถึงระดับผู้บริหารด้วย”

นายสายชลกล่าวอีกว่า ส่วนกลยุทธ์การทำธุรกิจในปีนี้ บริษัทและกลุ่มบริษัทในเครือจะเน้นการทำงานในเชิงรุกเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการสร้างการรับรู้ทั้งในกลุ่มลูกค้าเก่าและขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการสร้างการยอมรับมาตรฐานของบริษัทคนไทยให้มีความเป็นสากลกับกลุ่มบริษัทต่างชาติทั้งยุโรป อเมริกา และเอเชีย โดยจะเน้นการทำตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น การร่วมงาน BOI ออกจัดนิทรรศการ ที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงเดือนมิถุนายน 2556 ออก EXHIBITION เกี่ยวกับ Metallic ที่ไบเทค บางนา การเข้าพบลูกค้าโดยตรงทั้งในส่วนลูกค้าบริษัททั่วไปและลูกค้ากลุ่มนิคมอุตสาหกรรม การเพิ่มผู้ร่วมงานที่มีความชำนาญเฉพาะด้านโดยตรง เช่น ฝ่ายบัญชี, ฝ่ายการตลาด, ฝ่ายวิศวกรรม อาทิ นายศุภชัย โตพิบูล โดยเป็นผู้ดูแลกลุ่มลูกค้าประเทศญี่ปุ่นในการเข้ามาลงทุนอุตสาหกรรมในไทย ซึ่งนายศุภชัยจะเป็นผู้ที่มีความชำนาญทางด้านภาษาและวัฒนธรรมประเทศญี่ปุ่น สำเร็จการศึกษาจากประเทศญี่ปุ่นและทำงานกับบริษัทญี่ปุ่นมากว่า 30 ปี มร.วิลเบิร์ต ชอง (Mr. WILBERT CHONG) เป็นวิศวกรโยธา ทำงานในวงการก่อสร้างที่มาเลเซีย เป้าหมายที่ทางบริษัทได้ตั้งไว้ก็คือให้เป็นคนประสานงานกับลูกค้าในเซาท์อีสต์เอเซีย เช่น อินโดนีเซีย, พม่า, มาเลเซีย, สิงคโปร์, ลาว, เวียดนาม, กัมพูชา, ฟิลิปปินส์, บรูไน, เกาหลีใต้ และจีน

ด้านเป้าหมายการดำเนินธุรกิจในปีนี้เชื่อว่าจะสามารถทำผลประกอบการได้เติบโต 100% จากปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลจากการทำตลาดในเชิงรุก การเพิ่มเทคโนโลยีเพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งบริษัทมีการลงทุนด้านเครื่องจักรเพิ่มขึ้น รวมถึงแนวโน้มการขยายตัวของโรงงานและกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ที่จะลงทุนเพิ่มในปีนี้ โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทมีผลประกอบการเติบโตได้ถึง 300% จากปี 2554

ส่วนปัญหาด้านการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาทนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัท เนื่องจากบริษัทมีการจ่ายค่าจ้างมากกว่า 300 บาทอยู่แล้ว รวมถึงบริษัทมีนวัตกรรมการก่อสร้างที่ช่วยประหยัดแรงงานและเวลาการก่อสร้าง ได้แก่ ระบบ FAC GLOW โดยเป็นระบบการก่อสร้างที่สามารถควบคุมคุณภาพและเวลาการก่อสร้างได้ ระบบ FLOOR GLOW การทำพื้นโดยลดปริมาณงานเหล็กลงถึง 30% ลดระยะเวลาในการทำงานลงได้มากโดยใช้เครื่องมือในการทำงาน เช่น LASER SCREED สำหรับใช้เช็กค่าความเรียบของพื้น ลดปริมาณคนงานลงได้เนื่องจากงานเหล็กลดลงจึงทำให้คนงานผูกเหล็กลดลง ใช้เครื่องจักรในการทำงานมากขึ้น ระบบ ME GLOW ที่มีการออกแบบและติดตั้งระบบไฟฟ้าเครื่องกล ออกแบบและติดตั้งระบบป้องกันเพลิงไหม้ตามมาตรฐานทั้ง PRE-SCRIPTIVE APPROACH และ KNOWLEDGE BASED APPROACH และ M-KOOL เป็นระบบระบายความร้อนภายในอาคารโดยผ่านม่านน้ำ จึงทำให้ความร้อนภายนอกที่เข้ามาภายในตัวโรงงานลดอุณหภูมิความร้อนได้ 3-5 องศา

“ระบบต่างๆ ที่บริษัทมีให้บริการลูกค้านั้นจะช่วยทำให้ลูกค้าลดเวลาการทำงานไปได้ 30% และยังช่วยลดต้นทุนไปได้มากกว่า 15% ทำให้แม้ว่าการปรับค่าแรงงานขั้นต่ำขึ้นมา 300 บาทก็ไม่ได้ทำให้ต้นทุนของลูกค้าเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิม ซึ่งหากลูกค้าใช้บริการก่อสร้างโรงงานกึ่งสำเร็จรูปของทางบริษัทจะทำให้ลูกค้าไม่ต้องกังวลต่อปัญหาเรื่องต้นทุน ขณะเดียวกันการก่อสร้างยังมีกำหนดการแล้วเสร็จที่แน่นอน แม้ว่าต้นทุนแรงงานและวัสดุก่อสร้างต่างๆ จะเพิ่มขึ้นก็ตาม” นายสายชลกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น