xs
xsm
sm
md
lg

ช.การช่างปีนี้รายได้ทะลุ 2.5 หมื่นล.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ช.การช่าง คาดปีนี้รายได้ 2.5-2.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากปี 55 ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท  เหตุทยอยรับรู้งานในมือ 1.62 แสนล้านบาท เตรียมประมูลงานใหม่เพิ่ม คาดได้ 20% จากมูลค่างานที่ออกประมูลปีนี้ 4-5 แสนล้านบาท  ผู้บริหารแจงราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มสูง ผลจากนักลงทุนมั่นใจมากขึ้นหลังโครงการไซยะบุรีเดินหน้าก่อสร้าง ขณะปีนี้ลงทุน 700 ล้านบาท ชำระราคาหุ้นไซยะบุรี พร้อมออกหุ้นกู้ 2,000 ล้านบาท ใช้ก่อสร้าง ย้ำกำไรขายหุ้นน้ำประปา 2.2 พันล้านบาท คาดยื่นไฟลิ่งซีเคพาวเวอร์ ก.พ.นี้

 
     นายประเสริฐ มริตตนะพร กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส กลุ่มงานบริหาร บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK เปิดเผยว่า คาดว่าปีนี้จะมีรายได้จากการก่อสร้าง 25,000-28,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 20-30% จากปี 2555 คาดอยู่ที่ 18,000 ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบัน บริษัทมีงานในมืออยู่ 162,908 ล้านบาท ทยอยรับรู้ถึงปี 2563  ซึ่งมีโครงการใหญ่ 4 โครงการ คือ 1.โครงการฝายน้ำล้นไซยะบุรี ที่ลาว มูลค่า 7.6 หมื่นล้านบาท มีความคืบหน้าโครงการ 10% ใช้เวลาก่อสร้าง 8 ปี แล้วเสร็จในปี 63 โครงการทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร มูลค่า 2.25 หมื่นล้านบาท ใช้เวลาสร้างแล้วเสร็จประมาณ 3.5 ปี
 
อีกทั้งโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงบางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค สัญญาที่ 2 มูลค่า 1.07 หมื่นล้านบาท มีความคืบหน้าไป 29% คาดสร้างเสร็จปี 60 หรือใช้เวลาก่อสร้าง 5 ปี ขณะนี้ บริษัทพร้อมเดินหัวเจาะเพื่อขุดอุโมงค์ช่วงลอดแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว โดยนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีเดินหัวเจาะในวันที่ 24 ม.ค.นี้ และ 4.โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว สัญญาที่ 1 สร้างโครงสร้างทางยกระดับช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ มูลค่า 1.3 หมื่นล้านบาท งานคืบหน้า 10% ใช้เวลาก่อสร้างเสร็จ 4 ปี หรือสร้างเสร็จปี 59
    
นอกจากนี้ ยังมีโครงการใหม่ที่บริษัทจะเข้าร่วมในอนาคตที่ปีนี้จะมีงานออกประมูลประมาณ 4-5 แสนล้านบาท เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการรถไฟรางคู่ รถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต รถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี รถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วง ศูนย์วัฒธรรม-บางกะปิ รถไฟฟ้าสายดีแดง ช่วง รังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมทั้งโครงการบริหารจัดการน้ำ มูลค่า 3.5 แสนล้านบาท และโครงการอื่นๆ ภาคเอกชน ซึ่งบริษัทเตรียมความพร้อมทุกๆ ด้านเพื่อเข้าประมูลในโครงการที่น่าสนใจ และเป็นประโยชน์ต่อประเทศ โดยบริษัทคาดว่าจากมูลค่างานที่ออกมาประมูลนั้นบริษัทคาดว่าจะได้งานประมาณ 20%
 
     สำหรับในช่วงไตรมาส 1/56 บริษัทคาดว่าจะสามารถลงนามในสัญญาได้ 2 สัญญาคือ โครงการจัดหาขบวนรถไฟฟ้าและติดตั้งอุปกรณ์ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงกับ บมจ.รถไฟฟ้าสายสีม่วง มูลค่า 20,775 ล้านบาท และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว สัญญาที่ 2 งานวางระบบราง มูลค่า 2.500 ล้านบาท รวม 2 สัญญาเป็นวงเงิน 23,275 ล้านบาท และยังมีงานที่รอเซ็นคือโครงการโรงไฟฟ้า SPP มูลค่า 5,000 ล้านบาท งานมอเตอร์เวย์บางปะอิน-โคราช มูลค่า50,000-60,000 ล้านบาท
 
    อย่างไรก็ตาม ปีนี้การเมืองนิ่ง ราคาน้ำมันเชื่อว่าจะไม่ปรับตัวขึ้นสูง อัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ระดับต่ำ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นนั้นถือว่าเป็นปัจจัยบวกกับบริษัท โดยค่าบาทที่แข็งนั้นบริษัทจะใช้จังหวะนี้ในการซื้อเครื่องจักร ฯลฯ จากการที่ราคาหุ้นของบริษัทมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงนั้น ส่วนตัวเชื่อว่าจากนักลงทุนมองว่าหุ้นของบริษัทมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี และมีความชัดเจนเกี่ยวกับการก่อสร้างโครงการไซยะบุรี ทำให้นักลงทุนมั่นใจเข้ามาลงทุนมากขึ้น ซึงมีกองทุนติดต่อเข้ามาจะฟังข้อมูลของบริษัทมากขึ้น แม้ปัจจุบันค่า P/E หุ้นของบริษัทจะสูงถึง 1,000 เท่า แต่เชื่อว่ากำไรปี 55 ออกมาจะทำให้ P/E หุ้นของบริษัทปรับตัวลดลง เพราะที่ P/E สูงนั้นเกิดจากการคำนวนกำไรของปีก่อนหน้านี้ไม่ใช่กำไรในปีปัจจุบัน
 
       นายประเสริฐ กล่าวว่า จากการที่บริษัทได้มีการขายหุ้น บริษัท น้ำประปาไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TTW สัดส่วน 11% จะบันทึกเป็นกำไรขายหุ้นจำนวน 2.2 พันล้านบาท ในไตรมาส 1/56 ซึ่งบริษัทจะนำเงินที่ได้ไปชำระหนี้บางส่วน ปัจจุบันมีภาระอัตราดอกเบี้ย 5.25% ซึ่งจะช่วยให้อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงเหลือ 1.5 เท่าจากเดิมสูงถึง 2.9 เท่า คาดหวังว่าการปรับขึ้นอันดับความน่าเชื่อถือปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ในอนาคตมีต้นทุนการเงินในการออกหุ้นกู้ได้ต่ำลง ซึ่งบริษัทยังไม่มีแผนที่จะขายหุ้นน้ำประปาออกมาอีก
 
ทั้งนี้ ในปีนี้บริษัทจะมีการออกหุ้นกู้ที่ครบกำหนดจำนวน 3,000 ล้านบาท แต่บริษัทคาดว่าจะมีการออกหุ้นกู้ใหม่เพียง 2,000 ล้านบาทเท่านั้น เพราะบริษัทมีเงินในการขายหุ้นน้ำประปาเข้ามา โดยเพียงพอต่อการใช้ลงทุนในโครงการก่อสร้าง โดยหุ้นกู้ที่จะออกจะมีอายุ 3 ปี และ 5 ปี ตอนนี้กำลังพิจารณาว่าจะออกล็อตเดียว หรือสองล็อต คาดว่าจะออกประมาณเดือนมิถุนายน หรือกันยายนนี้ ปีนี้บริษัทจะใช้เงินลงทุนประมาณ 700 ล้านบาท ในการชำระค่าหุ้นไซยะบุรี
 
    สำหรับความคืบหน้าในการนำบริษัท ซีเค เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP นั้น คาดว่าคณะกรรมการบริษัทจะอนุมัติให้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ซึ่งคาดว่าจะยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ประมาณเดือนกุมภาพันธ์นี้ และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ภายในครึ่งปีแรก ซึ่งจะขายหุ้นประมาณ 20% ของทุนจดทะเบียน โดยบริษัทมีการปรับโครงการภายก่อน และจะมีการพิจารณาว่าจะมีการเสนอขายหุ้นใหม่ และหุ้นเก่าในสัดส่วนเท่าไร ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าบริษัทจะต้องใช้เงินลงทุนในดครงการเท่าไร  โดยปัจจุบัน CKP มีทุนจดทะเบียน 9,200 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 10 บาท 
กำลังโหลดความคิดเห็น