ปตท. เปิดแผนลงทุนปี 56 เล็งปรับใหม่ ทั้งใน-ต่างประเทศ โดยการลงทุนในประเทศ จะเน้นความยั่งยืนด้านพลังงาน รองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน สำหรับแผนการลงทุนในต่างประเทศ เตรียมขยายสถานีบริการไปยังในอาเซียน เช่น ลาว เขมร และพม่า รวมถึงโครงการเหมืองแร่ และการลงทุนถ่านหินในอินโดนีเซีย เตรียมออกหุ้นกู้ระดมทุน
นายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท.กำลังอยู่ในช่วงการดำเนินปรับปรุงแผนตามโครงการลงทุนระยะ 5 ปี ตามสภาพเศรษฐกิจและกลยุทธ์ โดยเป็นการลงทุนทั้งในประเทศอาเซียน และนอกอาเซียน ส่วนการลงทุนในประเทศจะเน้นความยั่งยืนด้านพลังงานรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน รวมถึงนโยบายด้านพลังงานของรัฐบาล ซึ่งหลังจากที่ประกาศยกเลิกการอุดหนุนราคา LPG ที่จะทยอยปรับเดือนละ 50 สตางค์/กก./เดือน จะส่งผลดีต่อ ปตท. เนื่องจากปัจจุบัน รัฐบาลกำหนดราคาเนื้อก๊าซอยู่ที่ 333 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน แต่ราคาต้นทุนก๊าซในตลาดโลกสูงมากกว่า
ดังนั้น การปรับจะสะท้อนราคาที่แท้จริงลดภาระเงินกองทุนน้้ำมันเชื้อเพลิงที่อุดหนุน ชะลอการนำเข้า LPG จากที่ปัจจุบันคลัง LPG ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ โดยเฉลี่ย ปตท.ต้องนำเข้าอยู่ที่ 150,000 ตันต่อเดือน แต่คลังก๊าซ LPG รองรับได้เพียง 120,000 ตันต่อเดือน ดังนั้น แผนการลงทุนของ ปตท.จะต้องเร่งก่อสร้างคลังก๊าซ LPG ใหม่ เพื่อรองรับความต้องการใช้ก๊าซ LPG ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงโครงการวางท่อก๊าซ และน้ำมันในภาคเหนือ และอีสาน ยอมรับว่าการวางท่อก๊าซ NGV ในเขตกรุงเทพฯ ยังมีข้อจำกัด และทำได้ยาก เพราะติดขัดปัญหาการขุดเจาะในบางพื้นที่ ซึ่งหากต้องขยายสถานีบริการไกลจากท่อก๊าซ จะทำให้ประสิทธิภาพของก๊าซ NGV ลดลงด้วย
สำหรับแผนการลงทุนในต่างประเทศ ปตท.เพื่อรองรับการเปิดเออีซีมีหลายโครงการ เช่น การขยายสถานีบริการไปยังในอาเซียน เช่น ลาว เขมร และพม่า รวมถึงโครงการเหมืองแร่ของ ปตท. เป็นการลงทุนถ่านหินในอินโดนีเซียของบริษัท SAR ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ อยู่ระหว่างที่ ปตท.จะซื้อหุ้นให้ครบ 100% หลังจากนั้น จะถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์สิงค์โปร์ โดยกำลังผลิตถ่านหินจะเพิ่มขึ้นจากขณะนี้อยู่ที่ 12 ล้านตันต่อปี และขณะนี้มีสัญญาขายที่กำลังเจรจาอยู่ที่ราคา 85-90 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน จะเริ่มจำหน่ายช่วงไตรมาส 2 ปีหน้า
ทั้งนี้ จากแผนงาน ปตท.คาดว่า จะต้องระดมทุนเพิ่มเติมเพื่อลงทุนออกหุ้นกู้ในปีหน้า แต่จะต้องนำเข้าที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติวงเงินอีกครั้ง
ส่วนแนวโน้มราคาน้ำมันในปีหน้า ประเมินว่าจะอยู่ที่ 105-115 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปกำลังฟื้นตัว ขณะที่เศรษฐกิจในเอเชียยังขยายตัวได้ดี รวมถึงจีนและญี่ปุ่น โดยรวมยังมีสัญญาณดีขึ้น จึงไม่ทำให้ราคาน้ำมันผันผวนหวือหวามาก แต่ยังจับตาการแก้ไขปัญหาการเมืองในอิหร่านจะเป็นอย่างไร