xs
xsm
sm
md
lg

เอสแอนด์พีคงอันดับความน่าเชื่อถือของไทย ชี้นโยบายการเงินเป็นจุดแข็ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สบน. แจงเหตุผล S&P’s คงอันดับความน่าเชื่อถือของไทย ระบุ นโยบายการเงินยังเป็นจุดแข็ง ชี้เสถียรภาพทางการเมืองยังเป็นปัจจัยลบ พร้อมจับตาการใช้ประชานิยม หากมีตัวบ่งชี้ในเชิงลบอาจมีการปรับลดเครดิต

น.ส.จุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) แถลงผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยโดย บริษัท Standard & Poor’s (S&P’s) โดยระบุว่า S&P’s ได้ยืนยันระดับอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ระยะยาว และระยะสั้นสกุลเงินต่างประเทศ ที่ระดับ BBB+/A-2 และระดับอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ระยะยาว และระยะสั้นสกุลเงินบาท (Long - term/Short - term Local Currency Rating) ที่ระดับ A-/A-2 และได้ยืนยันแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของไทยที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) นอกจากนี้ยังยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยบน ASEAN Regional Scale ระยะยาวที่ axAA และระยะสั้นที่ axA-1 ตามลำดับ

ทั้งนี้ สถานะดุลต่างประเทศสุทธิที่เหมาะสม ภาระหนี้สุทธิของรัฐบาลที่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำและความน่าเชื่อถือของนโยบายการเงินเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย จุดแข็งดังกล่าวช่วยสร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจที่มีรายได้ต่ำ และความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดย S&P’s ได้คาดการณ์ระดับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทย ณ สิ้นปี 2554 ว่าจะอยู่ที่ 190,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (คำนวณจากตัวเลขบัญชีดุลสะพัด 8 เดือน) ประเทศไทยมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลเล็กน้อยตั้งแต่ปี 2549 และ S&P’s คาดว่าแนวโน้มจะเป็นเช่นนี้อย่างน้อยที่สุดจนถึงปี 2558 ด้วยเหตุนี้ S&P’s คาดการณ์ว่าภาระหนี้ต่างประเทศสุทธิจะอยู่ที่ร้อยละ 14 ของรายรับดุลบัญชีเดินสะพัด ณ สิ้นปี 2555 และคาดว่าสินทรัพย์สภาพคล่องต่างประเทศของรัฐบาล และภาคการเงินจะเป็น 2 เท่า ของหนี้ต่างประเทศของประเทศ

ในทางเดียวกัน รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายสมดุล หรือขาดดุลเพียงเล็กน้อย ตั้งแต่ประเทศฟื้นตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจเอเชียในปี 2540 หลังจากหนี้รัฐบาลสุทธิได้ลดลงอย่างต่อเนื่องจนอยู่ที่ร้อยละ 17 ของ GDP ณ สิ้นปีงบประมาณ 2551 หนี้รัฐบาลสุทธิได้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 24 ของ GDP ณ สิ้นปีงบประมาณ 2554 ซึ่ง S&P’s คาดว่า สัดส่วนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นอย่างพอประมาณจนถึงปี 2558 ภาระดอกเบี้ยของรัฐบาลยังคงอยู่ในระดับที่ไม่น่าเป็นกังวลที่ร้อยละ 5.5 ของรายได้ อัตราเงินเฟ้อของประเทศไทยที่แสดงโดยดัชนีราคาผู้บริโภคอยู่ต่ำกว่าร้อยละ 5.5 ต่อปี ตั้งแต่ปี 2542 การเติบโตของสินเชื่อเป็นไปในทางเดียวกับการเติบโตของ GDP S&P’s จัดอันดับระบบธนาคารของประเทศไทยไว้ที่ระดับ 5 จาก 10 ขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัวของประเทศไทยที่ 5,350 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2555 เป็นข้อจำกัดของความน่าเชื่อถือของประเทศ โดยตัวชี้วัดทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณสุข และการศึกษาของประเทศไทยอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่า

ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลลบต่อความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยตั้งแต่ปี 2549 ได้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหลายครั้ง ซึ่งส่งผลให้การปฏิรูปโครงสร้างของประเทศมีความล่าช้า ขัดขวางการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล และกดดันการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ การประท้วงพรรคผู้นำรัฐบาลบนท้องถนนที่ผ่านมา ทำให้เกิดการขัดขวางทางเศรษฐกิจที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดทางการเมืองดังกล่าวได้เริ่มลดลง ตั้งแต่รัฐบาลใหม่เข้ามาเริ่มดำเนินงาน

ส่วนแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือมีเสถียรภาพ สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าจะไม่เกิดความไม่สมดุลระหว่างภาคต่างประเทศ การคลัง และการเงินของประเทศ รวมถึงเศรษฐกิจการเมืองของประเทศไทยจะยังคงอยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ อย่างไรก็ดี S&P’s อาจปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยลง หากฐานะการคลัง และตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจลดลงอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากนโยบายประชานิยมของรัฐบาล S&P’s เชื่อว่า โอกาสในการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยจะปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น หากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมืองลดลง ซึ่งจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่สถานะอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ
กำลังโหลดความคิดเห็น