xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นไทยปีนี้ปลอด DECEMBER EFFECT

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - หุ้นไทย 11 เดือน มาร์เกตแคป 11 ล้านล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 5.3 หมื่นล้าน สถาบันขาย 2.5 หมื่นล้าน นักวิเคราะห์เชื่อ Fiscal ciff ได้ข้อสรุปภายในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนนี้ ภาพรวมเชื่อมั่นไม่เกิด DECEMBER EFFECT อีกทั้งได้แรงหนุนจากเม็ดเงินกองทุน LTF ดันสิ้นปีมีโอกาสเห็น 1,350 จุด

บรรยากาศการซื้อขายหลักทรัพย์ในรอบ 11 เดือน ตั้งแต่ ม.ค.-พ.ย. ได้ปรับตัวขึ้นสูงสุดเมื่อวันที่ 30 พ.ย. ที่ 1,324.04 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 77,598.25 ล้านบาท มาร์เกตแคปสูงสุด 11.01 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยกว่าวันละ 30,000 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 53,298.30 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 25,767.73 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อหลักทรัพย์ 4,008.39 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อย ขายสุทธิ 31,538.97 ล้านบาท

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยว่า ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนสุดท้ายของปีนี้ ปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นไทย และหุ้นทั่วโลก คือ เรื่องหน้าผาทางการคลัง (Fiscal ciff) ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนธันวาคมนี้ โดยส่วนตัวเชื่อว่าจ่าจะเจรจากันจบ แต่ต้องจับตาดูว่ามาตรการปรับขึ้นภาษี และปรับลดงบรายจ่ายจะอยู่ที่เท่าไร ทั้งนี้ หากตัวเลขอยู่ที่ 6 แสนล้านเหรียญสหรัฐนั้น เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงถึง 100 จุดได้ แต่หากสามารถตกลงกันได้ และมีการทยอยในเรื่องการปรับขึ้นภาษี และลดงบรายจ่ายไม่เยอะเพียง 1-2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อดัชนีฯ ไม่มาก และอีกปัจจัยเรื่องสถานการณ์ในยูโรโซน ซึ่งโจทย์ใหญ่เรื่องหนี้ของหลายประเทศ ไม่ว่ากรีซ สเปน เป็นอย่างไรหลังจากที่มีการรัดเข็มเข็ดนั้น จะมีผลกระทบอย่างไร หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้น

อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวคาดว่าในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนธันวาคมนี้ ดัชนีฯ ยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อยู่ที่ประมาณ 1,300-1,330 จุดได้ จากที่ตลาดตอบรับข่าวดีในวันที่ 29 พฤศจิกายน จากที่คาดว่านายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ น่าจะเจรจากับสภาคองเกรสได้ในเรื่องหน้าผาทางการคลัง

ส่วนในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนนั้น ดัชนีอาจจะทรงตัว จากรอผลเรื่องหน้าผาทางการคลังว่าตัวเลขจะจบที่เท่าไหร่ แต่นักลงทุนอยากให้มีการลดรายจ่ายบางตัวที่ไม่จำเป็นลง แต่ไม่อยากให้มีการขึ้นภาษีเงินได้บุคคล เพราะหากมีการขึ้นภาษีเงินได้บุคคลนั้นก็จะทำให้ประชาชนมีการลดรายจ่ายลง ซึ่งจะมีผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

“ปีนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเยอะจากปีที่ผ่านมา ทำให้ไม่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ DECEMBER EFFECT เพราะหากจะเกิด DECEMBER EFFECT จะเป็นช่วงปีที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงแรง ทำให้กลับมารีบาวนด์ในช่วงเดือนธันวาคม แต่ปีนี้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง แต่เชื่อว่าเดือนนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ จากมีแรงซื้อของกองทุนหุ้นระยะยาว หรือ LTF ที่จะเข้ามาซื้อเพื่อลดหย่อนภาษี ส่วนเม็ดเงินการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศนั้นปกติเดือนธันวาคมก็จะไม่ค่อยเข้ามาซื้อจากที่เป็นช่วงใกล้วันหยุด ทำให้มีการชะลอการลงทุน”นายสมบัติกล่าว

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ BLS กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนธันวาคมนี้คาดว่าดัชนีจะค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากมองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยได้สะท้อนปัจจัยลบของสหรัฐอเมริกาไปแล้วในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา และคาดว่าเรื่อง Fiscal cliff นั้นมีจุดเริ่มต้นที่ดีที่มีการเจรจากัน ซึ่งตลาดมองว่าน่าจะหาข้อสรุปได้ ทำให้ดัชนีมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่ก็ขึ้นไม่แรง 2-3% หรือบวกลบ 1,340 จุด ขณะที่นักลงทุนต่างชาติในเดือนนี้นั้นก็จะเริ่มชะลอการซื้อขายแล้ว

นายสุกิจ อุดมสิริกุล กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัยหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MBKRT กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือน ธ.ค.นี้คาดว่าน่าจะแกว่งตัวเพิ่มขึ้นได้ ในรอบ 1,280 จุด-1,350 จุด เนื่องจากมองว่าไม่น่ามีปัจจัยเสี่ยงมากที่จะเข้ามากระทบ ซึ่งนักลงทุนรอผลการเจรจาเรื่อง Fiscal cliff ในช่วงปลายเดือ นธ.ค.ซึ่งน่าจะมีการเจรจา และสรุปกันได้ ขณะที่ต้องจับตาในเรื่องการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในเรื่องโอเปอเรชันทวิสต์ ซึ่งจะมีผลต่อตลาดตราสารหนี้ และสภาพคล่องการซื้อขาย โดยหากดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงเชื่อว่าจะลงไม่มากจากมีแรงซื้อในกองทุน LTF
กำลังโหลดความคิดเห็น