ผู้ว่าการ ธปท. ยืนยันปีนี้จะมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้าเพียง 5,000-6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ให้เงินบาทแข็งค่าเพียง 2% ซึ่งทำให้ ธปท. แทบจะไม่ต้องเข้าแทรกแซงค่าเงิน ส่วนกรณี “ฮ่องกง” ถูกโจมตีค่าเงินเป็นครั้งที่ 7 แล้วนั้น เพราะผูกค่ากับดอลลาร์ 100% คาดแนวโน้มอาจมีการปรับสูตรตะกร้าเงิน
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงสถานการณ์ค่าเงินบาทขณะนี้ โดยยืนยันว่า ไม่ได้แข็งค่ามากจนเกินไป แม้จะได้รับผลกระทบจากมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน หรือคิวอี 3 ของธนาคารกลางสหรัฐฯ บ้างแล้วก็ตาม ค่าเงินบาทแข็งค่าเกาะไปกับค่าเงินในภูมิภาค
“ค่าเงินบาทตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้แข็งค่าเพียงประมาณ 2-3% จาก 31.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐ มาอยู่ที่ 30.70 บาทต่อเหรียญสหรัฐ จึงทำให้ปีนี้ ธปท. แทบจะไม่ได้เข้าแทรกแซงค่าเงินบาทเลย”
โดยเมื่อปี 2553 มีเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศจากมาตรการคิวอีสุทธิ 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ปี 2554 มีเงินทุนไหลเข้า 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ และเชื่อว่าปีนี้ จะมีเงินทุนไหลเข้าประมาณ 5,000-6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือว่าไม่มาก แทบไม่มีผลกระทบกับค่าเงินบาทของไทย
“หากวงเงินอยู่ในระดับนี้ ธปท.พอรับได้ ขณะนี้ผู้ประกอบการของไทยเริ่มปรับตัวอย่างมาก เห็นได้จากแม้เงินบาทจะแข็งค่า แต่ก็ไม่มีเสียงเรียกร้องให้ ธปท.เข้ามาดูแลค่าเงินบาท เพราะการแข็งค่าขยับเพียงครั้งละเล็กน้อย ไม่เหมือนปี 2553 ที่เงินบาทแข็งค่าถึง 10% รวมทั้งประเทศไทยได้กระจายการส่งออกไปยังตลาดอื่นๆ เป็นการถ่วงดุลการค้าขายกับสหรัฐฯ”
ด้านกรณีของฮ่องกงที่กำลังถูกโจมตีค่าเงินจากนักเก็งกำไรครั้งที่ 7 มองว่าเป็นเพราะฮ่องกงผูกติดค่าเงินไว้กับสกุลเหรียญสหรัฐ 100% จึงทำให้เป็นปัญหาเหมือนปี 2540 ที่ไทยต้องลดค่าเงินบาทครั้งใหญ่ และเชื่อว่าในที่สุดแล้วฮ่องกงคงจะเปลี่ยนแปลงค่าเงินให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของโลก