“แบงก์ชาติ” เชื่อ “ฮ่องกง” ไม่ได้ถูกโจมตีค่าเงิน แค่ทุนไหลเข้าปกติ แต่ความผันผวนที่เกิดขึ้นเกิดจากผลของนโยบายผูกค่าเงินกับดอลลาร์แบบคงที่ จึงต้องเข้าดูแลตลาดหลังค่าเงินแข็ง ด้านนักเศรษฐศาสตร์ยอมรับ “ฮ่องกง” โดนถล่มค่าเงินช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา ยันไม่กระทบไทย แนะจับตาเงินทุนไหลออกช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า กดบาทแตะ 31 บาท/ดอลลาร์
นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงสถานการณ์ความไม่ปรกติของตลาดเงินที่ฮ่องกงกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ โดยมองว่า ไม่น่าจะเป็นลักษณะของการโจมตีค่าเงิน น่าจะเป็นเพียงเงินทุนที่ไหลเข้าไปลงทุนธรรมดา โดยเป็นลักษณะเดียวกับที่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียเผชิญกัน ซึ่งรวมทั้งประเทศไทยด้วย
ส่วนสาเหตุที่ฮ่องกงต้องเข้าไปแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนที่มากขึ้นนั้น ด้วยเพราะฮ่องกงใช้ระบบ Currency board หรือผูกติดค่าเงินไว้กับดอลลาร์สหรัฐ โดยกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนไว้คงที่ชัดเจน เมื่อเงินทุนไหลเข้ามามากๆ จนค่าเงินแข็งค่าไปแตะระดับบนของกรอบที่กำหนดไว้ ทำให้ทางการฮ่องกงต้องเข้าไปแทรกแซงเพื่อให้อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ในกรอบดังกล่าว ขณะที่สถานการณ์เงินทุนเคลื่อนย้ายในประเทศไทยมีทั้งไหลเข้า และไหลออกสลับกัน
“อย่างนี้ไม่น่าจะเรียกว่าถูกโจมตี เพราะไม่ได้เป็นลักษณะของการโจมตีค่าเงิน แต่เป็นเพียงเงินไหลเข้า ซึ่งก็เป็นโฟลเดียวกับที่เข้าเรา หรือประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ เพียงแต่ของเราใช้อัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวค่าเงินก็แข็งขึ้น แต่ของฮ่องกงด้วยนโยบายการเงินของเขาทำให้เขาต้องเข้าไปแทรกแซง”
ด้าน น.ส.วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารแสตนดาร์ด ชาร์ดเตอร์ด (ไทย) มองว่า สถานการณ์ความผันผวนของตลาดเงินที่ฮ่องกงในขณะนี้ น่าจะกลับสู่ภาวะปกติแล้ว และกรณีที่เกิดขึ้นคงไม่ใช่การโจมตีค่าเงิน แต่เป็นเรื่องของการตีความ และความมั่นใจของนักลงทุน โดยนักลงทุนบางส่วนมองว่า อนาคตฮ่องกงอาจไม่สามารถผูกโยงค่าเงินกับดอลลาร์สหรัฐได้ เพราะเศรษฐกิจฮ่องกงมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งกว่า
“ฮ่องกงเขามี Forward rate (อัตราสัญญาซื้อขายเงินล่วงหน้า) ซึ่งมันขยับไปในทิศที่สะท้อนว่า ตลาดคาดการณ์ว่าการ fix ค่าเงินดอลลาร์ฮ่องกงกับดอลลาร์สหรัฐ จะสามารถยึดโยงกันได้ต่อเนื่องในอนาคตหรือไม่ จึงสะท้อนออกมาที่อัตราแลกเปลี่ยน แต่จากสถานการณ์เมื่อวันจันทร์ที่ธนาคารกลางฮ่องกงเข้าไปแทรกแซงในตลาดเงิน ซึ่งเขาทุ่มสรรพกำลังเต็มที่ทำให้สถานการณ์ทุกอยู่ในขณะนี้สงบลงแล้ว”
ทั้งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับฮ่องกงในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมานั้น ไม่มีอะไรน่าห่วงมากนัก และเชื่อว่าจะไม่กระทบตลาดตลาดเงินไทยมากนัก แต่ประเด็นที่น่าห่วงกว่า คือ สถานการณ์เงินทุนไหลออกในระยะสั้น ทั้งของประเทศไทย และประเทศอื่นในภูมิภาค ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้านี้ โดยประเด็นที่ต้องติดตามจากนี้ไป คือ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนต่างๆ รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจหลายๆ ตัวที่เตรียมประกาศออกมา
“ตอนนี้ดูเหมือนราคาหุ้น ราคาสินทรัพย์ต่างๆ ได้ปรับขึ้นไปล่วงหน้าแล้ว ซึ่งเป็นผลจากปริมาณเงินในระบบทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น ทำให้สภาพคล่องในระบบล้น นักลงทุนจึงเข้าไปเก็งกำไรในสินทรัพย์การลงทุนประเภทต่างๆ เพราะหวังว่าผลตอบแทนจะออกมาดี แต่ถ้าผลประกอบการเหล่านี้ออกมาไม่ดีสร้างความผิดหวังให้แก่นักลงทุน ก็อาจเห็นเงินทุนไหลออกแบบฉับพลันได้ โดยช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า เงินบาทไทยมีโอกาสลงมาทดสอบที่ระดับ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ”