“คลัง” เตรียมเสนอ ครม. เปิดทางสมาชิก กบข. รับบำนาญ หลังสมาชิกร้องเรียนหลังเกษียณอายุราชการแล้วกลับได้เงินบำนาญน้อยกว่า ขรก. ที่ไม่ได้สมัครเป็นสมาชิก ส่วนความคืบหน้าการห้ามใช้ยา “กลูโคซามีน” ที่นำเข้าเพื่อรักษาโรคข้อเสื่อมเตรียมทบทวนอีกครั้ง ยอมรับเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ห่วงค่ารักษาพยาบาล ขรก. สูงเกินเพดาน แตะที่ระดับ 72% ของงบรายจ่ายแล้ว
นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้แก้ไขกฎหมายกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) และเตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ปลายเดือนตุลาคม 2555 นี้ เป็นการแก้ไขอัตราผลตอบแทนของสมาชิก หลังจากที่ผ่านมา ข้าราชการสมาชิก กบข. ร้องเรียนว่าเมื่อเกษียณอายุราชการจะได้เงินบำนาญน้อยกว่าข้าราชการที่ไม่ได้สมัครเป็นสมาชิก กบข. โดยหาก ครม.เห็นชอบก็จะเสนอให้รัฐสภาพิจารณาในสมัยประชุมหน้า หรือต้นปี 2556
ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า แนวทางแก้ไขกฎหมาย กบข. ทางราชการได้เปิดทางให้สมาชิก กบข.เลือกแนวทางรับบำนาญได้เมื่อเกษียณอายุราชการว่าจะเลือกรับเงินแบบบำนาญราชการเดิม หรือเลือกแนวทางรับเงินสะสมคืนกับ กบข. เพราะหากเลือกระบบบำนาญเดิมจะต้องคืนเงินที่รัฐบาลสะสมให้ในช่วงที่ผ่านมากลับคืนสู่รัฐ ซึ่งรัฐบาลจะจัดตั้งกองทุนมาดูแล และ กบข.เป็นผู้บริหาร ซึ่งเงินกองทุนนับแสนล้านบาทในช่วง 30 ปีข้างหน้า
รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ปัจจุบัน อายุราชการตั้งแต่เริ่มต้นทำงานวันแรกจนถึงเกษียณตั้งแต่ 22 ปี จนถึง 60 ปี จะอยู่ที่ 38 ปี แต่เมื่อได้ตั้งกองทุน กบข.ขึ้นมาในปี 2540 ที่ผ่านมา จึงเกิดปัญหาข้าราชการที่สมัครใจเข้าเป็นสมาชิก กบข. จะได้รับอัตราผลตอบเงินเดือนบำนาญต่อเดือนน้อยกว่าเงินข้าราชการที่ไม่ได้สมัครเป็นสมาชิกประมาณร้อยละ 50 และการรับเงินคืนปัจจุบันใช้สูตรในการคำนวณเงินบำนาญคิดจากเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย คูณด้วยอายุราชการ หารด้วย 50 แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะต้องไม่เกินร้อยละ 70 ของเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย
ทั้งนี้ หากคำนวณตามสูตรดังกล่าว จะทำให้ช้าราชการได้รับเงินน้อยกว่าเงินบำนาญเดิมประมาณ ร้อยละ 40-50 แต่หากนับเงินที่รัฐบาลได้ส่งสมทบเข้ากองทุน กบข.แล้วยังเป็นรายได้เพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่ง จึงต้องติดตามผลการพิจารณาของ ครม. เนื่องจากระบบการจ่ายเงินคืนจะนับวันทวีคูณของข้าราชการที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัยเพิ่มเติม สำหรับผู้มีอายุราชการ 45-50 ปี แต่ส่วนเกินจากเพดานอายุราชการ 38 ปี อาจแยกคำนวณเป็นผลตอบกรณีพิเศษ การชดเชยอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนของ กบข.ขาดทุน เพื่อจัดสรรงบประมาณชดเชย เพื่อให้ผลการขาดทุนให้กลับมาเป็นบวก
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังเตรียมเสนอแก้ไขแนวทางการจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เพิ่มเติม เพื่อให้ผู้มีอาชีพอิสระสะสมเงินเข้ากองทุนร่วมกับเงินสมทบของรัฐบาล รวมถึงการมีนโยบายสถาบันการเงินของรัฐปล่อยสินเชื่อผู้มีอาชีพอิสระชัดเจน แต่มีรายได้จากบัญชีเงินฝาก ซึ่งได้ทดลองให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ปล่อยกู้ซื้อบ้านไปแล้วช่วงที่ผ่านมา
ส่วนความคืบหน้ากรณีการห้ามใช้ยากลูโคซามีน (Glucosamine) นำเข้าเพื่อรักษาโรคข้อเสื่อม นายอารีพงศ์ กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้มีการกลับไปพิจารณาในรายละเอียดอีกครั้ง โดยจะเป็นการดำเนินการที่มีคนเกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ซึ่งหากมีผลกระทบต่อค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการ ก็จะทบทวนรายละเอียดอีกครั้งในทันที
อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังมีหน้าที่แจ้งกระทรวงสาธารณสุข และหัวหน้าส่วนราชการ ในฐานะผู้รักษาพยาบาล ขณะที่ส่วนราชการจะเป็นต้นสังกัดราชการ ที่จะได้มีการออกระเบียบปฏิบัติ ซึ่งกฎเกณฑ์ดังกล่าวจะเริ่มมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2555 นี้
นายอารีพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นโยบายการควบคุมค่ารักษาพยาบาลนั้น ถือเป็นยุทธศาสตร์ของรัฐบาลในการควบคุมค่าใช้จ่ายประจำปี ไม่ให้เกินร้อยละ 70 ของงบประมาณรายจ่าย ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 72-73 ซึ่งยังถือว่ายังอยู่ในระดับสูง