xs
xsm
sm
md
lg

“โต้ง” เป่านกหวีดลุยใช้นโยบายคลังเต็มสูบ ดัน ศก.ครึ่งปีหลัง ลั่นอยู่ครบเทอม 4 ปีแน่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กิตติรัตน์ ณ ระนอง
“กิตติรัตน์” หนุนไทยมีระบบการออมรับวัยเกษียณ เล็งตั้ง กอช. โดยใช้รูปแบบ กบข. ลั่นเดินหน้านโยบายคลังเต็มสูบ เพราะตนจะทำงานครบเทอม 4 ปี เพื่อผลักดันนโยบายให้สำเร็จ เป่านกหวีดปลุกกำลังซื้อ ดีเดย์โครงการพักชำระหนี้ทั้ง 100% สำหรับลูกหนี้ดี ล็อตแรกจำนวน 3.16 ล้านราย ประเดิมหั่น ดบ. อัตโนมัติ 3% ต่อปี ระยะเวลา 3 ปี มีผล 1 ก.ย.นี้

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังมอบใบวุฒิบัตรวิชาชีพนักงานวางแผนการเงิน (CFP) โดยระบุว่า นักวางแผนการเงินจะเข้ามามีส่วนพัฒนาการออมในระยะยาวได้มากขึ้น เพราะมองว่าการออมมีความสำคัญอย่างยิ่งในอนาคต

นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า สำนักงานสถิติแห่งชาติสำรวจพบว่า ผู้สูงอายุเกิน 60 ปีขึ้นไปมีสัดส่วนถึงร้อยละ 31 ที่ไม่มีเงินออม แม้สังคมไทยจะเป็นการพึ่งพาลูกหลานเลี้ยงดูในยามชรา แต่สังคมไทยเริ่มเข้าสู่สังคมพัฒนาเริ่มเป็นสังคมเดี่ยวเหมือนกับประเทศพัฒนาแล้วในอนาคต ดังนั้น ทุกคนจึงรู้จักการออมเงิน เพื่อให้มีเงินสะสมไว้ใช้ในการดำรงชีพในยามเกษียณอายุการทำงาน

ขณะที่กระทรวงการคลังพร้อมเดินหน้ากองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เพื่อช่วยเหลือผู้มีอาชีพอิสระให้มีเงินสะสมไว้ใช้ในช่วงเกษียณอายุทำงานเหมือนกับกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แต่ขอศึกษาแนวทางการจ่ายเงินในช่วงเกษียณดูก่อนว่า จะจ่ายแบบบำเหน็จเป็นเงินก้อน หรือแบบบำนาญ และแนวทางการส่งเงินสมทบเข้ากองทุนของรัฐบาลแก่ผู้มีอาชีพอิสระ เมื่ออายุสูงขึ้นควรปรับเพิ่มอย่างไรให้เหมาะสม หากได้ข้อสรุปทั้งหมดจะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบ และเสนอสภาผู้แทนราษฎรในขั้นตอนต่อไป

นายกิตติรัตน์ ยังได้กล่าวระหว่างการมอบใบวุฒิบัตรวิชาชีพนักงานวางแผนการเงิน โดยระบุว่า รัฐบาลต้องการดำเนินนโยบายการคลังและเศรษฐกิจภาพรวมให้มีเสถียรภาพ โดยขออยู่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอยู่ครบเทอม 4 ปี เพื่อให้โครงการต่างๆ ทั้งที่ดำเนินการอยู่ และค้างอยู่หลายโครงการสามารถสานต่อไปได้บรรลุเป้าหมาย

ด้านนายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการพักชำระหนี้ โดยระบุว่า กระทรวงการคลัง มีนโยบายลดดอกเบี้ย 3% ต่อปีเป็นระยะเวลา 3 ปีให้ลูกหนี้ดีของ 4 ธนาคารของรัฐที่เข้าโครงการพักชำระหนี้ดีโดยอัตโนมัติ จะมีผลให้ลูกหนี้ที่อยู่ในขอบข่ายโครงการนี้ ได้รับการลดดอกเบี้ยลงทั้ง 100% นับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2555 นี้ เป็นต้นไป

ทั้งนี้ รัฐบาลได้เปิดให้ลูกหนี้วงเงินไม่เกิน 5 แสนบาท ที่มีประวัติชำระหนี้ดี ลงทะเบียนเพื่อขอใช้สิทธิในโครงการดังกล่าวเป็นเวลา 3 เดือน สิ้นสุดเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2555 (วานนี้) ซึ่งมียอดขอใช้สิทธิรวมประมาณ 80% จำนวนนี้ประมาณ 80% เป็นลูกค้าของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ซึ่งส่วนใหญ่ใช้สิทธิทั้งการพักเงินต้น และลดดอกเบี้ย

“การลดดอกเบี้ยอัตโนมัติจะทำให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายของลูกหนี้ที่เข้าข่ายทั้งโครงการ 3.16 ล้านราย ลดลงไป 3 หมื่นล้านบาท และเมื่อรวมกับเม็ดเงินที่ลูกหนี้ขอพักเงินต้นอีกเกือบ 3 แสนล้านบาท จะทำให้เม็ดเงินดังกล่าวกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ประมาณ 0.47% ต่อปี”

ทั้งนี้ รัฐบาล และแบงก์รัฐจะรับภาระดอกเบี้ยคนละครึ่ง ส่วนรัฐบาลนั้นจะทยอยตั้งงบประมาณจ่ายคืนให้แบงก์รัฐเป็นเวลา 3 ปี หรือปีละ 5 พันล้านบาท รวมเป็น 1.5 หมื่นล้านบาท

รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า การประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการคลังช่วงเช้าวานนี้ นายกิตติรัตน์ ได้สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการปรับลดดอกเบี้ย 3% ให้ลูกหนี้ที่เข้าข่ายโดยอัตโนมัติ ถือเป็นนโยบายของรัฐบาล และไม่เป็นการขัดต่อมติ ครม.ที่มีคำสั่งลดดอกเบี้ย หรือพักชำระหนี้ให้ลูกหนี้ต้องมาลงทะเบียนเท่านั้น

นายชัชพล กาญจนกูล รักษาการผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า ขณะนี้มีลูกหนี้ออมสินเข้ามาใช้สิทธิในโครงการนี้ราว 1 แสนราย อย่างไรก็ตาม กลุ่มเป้าหมายของโครงการนี้ มี 3.8 แสนราย หากรัฐบาลลดดอกเบี้ยให้อัตโนมัติ 3% ก็จะถือว่ามีลูกหนี้ที่เข้าโครงการนี้ได้ 100% ส่วนสินเชื่อโครงการน้ำท่วมได้เปิดวงเงินรอบใหม่ 1.4 หมื่นล้านบาท หลังรอบแรก 2.3 หมื่นล้านบาทหมดไปแล้ว

นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวถึงสินเชื่อโครงการน้ำท่วมเฟส 2 เมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นวันแรกที่เปิดให้ลูกค้าเข้ามาขอใช้สิทธิสินเชื่อรอบที่สอง วงเงินรวม 2 หมื่นล้านบาท ปรากฏว่า มีลูกค้าสนใจกว่า 2.7 พันราย คิดเป็นวงเงินกว่า 2 หมื่นล้านบาท

กรรมการผู้จัดการ ธอส. ประเมินว่า วงเงินสินเชื่อ 2 หมื่นล้านบาท ดังกล่าวน่าจะเพียงพอต่อความต้องการ แต่ถ้าหากมีลูกค้าสนใจสินเชื่อโครงการน้ำท่วมเกินกว่าวงเงินที่กำหนด ธนาคารคงจะพิจารณาเพิ่มวงเงินให้อีก เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการ


กำลังโหลดความคิดเห็น