ดับบลิวเอชเอ คาดทำบุ๊กบิวราคาหุ้นไอพีโอปลายเดือนนี้ หลังโรดโชว์นักลงทุนสถาบัน ด้านที่
ปรึกษามั่นใจหุ้นได้รับการตอบรับดีจากกระแสหุ้นจอง-บริษัทมีปัจจัยพื้นฐาน ด้านผู้บริหารแจงปีหน้ารายได้เติบโตสูง เหตุขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาฯ อีก 2.1 พันล้านบาท ไตรมาส 1/55-รายได้จากค่าเช่าคลังสินค้าที่บริษัทจะพัฒนาอีก 2.5-3 แสนตารางเมตร คาดปีนี้รายได้โตกว่า 280% ครึ่งปีแรก 1.9 พันล้านบาท จากทั้งปี 54 ทำได้ 590 ล้านบาท
นายอรรถวิทย์ เฉลิมทรัพยากร ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวาณิชธนกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่นหรือ WHA เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะสรุปราคาได้ปลายเดือนตุลาคม หรือต้นพฤศจิกายนหลังจากที่บริษัทมีการนำเสนอข้อมูลแก่นักลงทุนสถาบัน และมีการสำรวจความสนใจจองซื้อหุ้น (บุ๊กบิวดิ้ง) โดยคาดว่าจะเปิดให้จองซื้อหุ้น 129.4 ล้านหุ้น และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ต้นเดือนพฤศจิกายน
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าหุ้นของ WHA จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนจากมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี บริษัทมีรายได้เติบโตต่อเนื่องจากค่าเช่า และยังมีการขายสินทรัพย์ฯ เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ และจากการที่บริษัทได้มีการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำให้บริษัทมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ทำให้บริษัทข้ามชาติเข้ามาใช้บริการ WHA ในการสร้างคลังสินค้า และศูนย์กระจายสินค้ามากขึ้น และยังได้ผลดีจากการเปิดเสรีประชาคมอาเซียน (AEC)
นอกจากนี้ จากที่ภาวะตลาดหุ้นไทยเอื้อนักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในหุ้นไอพีโอ จากที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทนที่ดีนั้น ส่วนตัวมองว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้า หุ้นไอพีโอยังได้รับความสนใจจากนักลงทุนจำนวนมาก เพราะบริษัทมีกำไรเติบโตที่ดีจากที่รัฐบาลมีการลดภาษีนิตบุคคลทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้น 20% จากลดภาษีจาก 30% เป็น 20% ในปีหน้า ขณะที่ยังไม่รวมกำไรจากการดำเนินงานปกติ
นายแพทย์สมยศ อนันตประยูร ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ประกอบธุรกิจพัฒนาคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า กล่าวว่า บริษัทคาดว่ารายได้รวมปีนี้จะมีการเติบโตมากกว่า 280% จากปี 2554 ทีมีรายได้รวม 590 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้บริษัทได้มีการขายสินทรัพย์โครงการอาคารคลังสินค้าเข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์จำนวน 1,808.9 ล้านบาท ทำให้รายได้รวมในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้อยู่ที่ 1,985.6 ล้านบาท และมีรายได้จากเงินปันผลจากกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และค่าบริการคลังสินค้าอีก 180 ล้านบาท ขณะครึ่งปีหลังคาดว่าจะขายพื้นคลังสินค้า 1 แสนตารางเมตร ทำให้คาดว่าในปี 56 รายได้จะโต 33% โดยสัดส่วนรายได้ของบริษัทจะมาจากการจำหน่ายสินทรัพย์ฯ เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ 85% และที่เหลืออีก 15% เป็นค่าเช่าคลังสินค้า และการบริหารกองทุนอสังหาริมทรัพย์
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าปีหน้าจะมีการเติบโตมากขึ้นกว่าปีนี้ เนื่องจากรายได้ค่าเช่าคลังสินค้ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้น จากที่บริษัทมีแผนที่จะพัฒนาโครงการคลังสินค้าอีกประมาณ 2.5-3 แสนตารางเมตร โดยใช้เงินลงทุนในปีหน้า จำนวน 2,000 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งจะมาจากการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) และการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ฯ จากมีแผนขายในไตรมาส 1/2556 จำนวน 2,100 ล้านบาท ซึ่งมีขนาดพื้นที่ จำนวน 7 หมื่นตารางเมตร ทำให้ขนาดกองทุนอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 5,000 ล้านบาท
“7 ปีที่ผ่านมา กองทุนอสังหาริมทรัพย์ให้ผลตอบแทนการลงทุนเฉลี่ย 7-8% โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ที่ถือหน่วยนั้นจะเป็นนักลงทุนสถาบันเป็นส่วนใหญ่ เช่น กบข.และประกันสังคม โดยหลังจากที่บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วจะทำให้บริษัทมีหนี้สินต่อทุนต่ำลงเหลือ 2 เท่า จากปัจจุบัน 3 เท่า” นายแพทย์สมยศกล่าว
ปรึกษามั่นใจหุ้นได้รับการตอบรับดีจากกระแสหุ้นจอง-บริษัทมีปัจจัยพื้นฐาน ด้านผู้บริหารแจงปีหน้ารายได้เติบโตสูง เหตุขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาฯ อีก 2.1 พันล้านบาท ไตรมาส 1/55-รายได้จากค่าเช่าคลังสินค้าที่บริษัทจะพัฒนาอีก 2.5-3 แสนตารางเมตร คาดปีนี้รายได้โตกว่า 280% ครึ่งปีแรก 1.9 พันล้านบาท จากทั้งปี 54 ทำได้ 590 ล้านบาท
นายอรรถวิทย์ เฉลิมทรัพยากร ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวาณิชธนกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่นหรือ WHA เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะสรุปราคาได้ปลายเดือนตุลาคม หรือต้นพฤศจิกายนหลังจากที่บริษัทมีการนำเสนอข้อมูลแก่นักลงทุนสถาบัน และมีการสำรวจความสนใจจองซื้อหุ้น (บุ๊กบิวดิ้ง) โดยคาดว่าจะเปิดให้จองซื้อหุ้น 129.4 ล้านหุ้น และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ต้นเดือนพฤศจิกายน
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าหุ้นของ WHA จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนจากมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี บริษัทมีรายได้เติบโตต่อเนื่องจากค่าเช่า และยังมีการขายสินทรัพย์ฯ เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ และจากการที่บริษัทได้มีการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำให้บริษัทมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ทำให้บริษัทข้ามชาติเข้ามาใช้บริการ WHA ในการสร้างคลังสินค้า และศูนย์กระจายสินค้ามากขึ้น และยังได้ผลดีจากการเปิดเสรีประชาคมอาเซียน (AEC)
นอกจากนี้ จากที่ภาวะตลาดหุ้นไทยเอื้อนักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในหุ้นไอพีโอ จากที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทนที่ดีนั้น ส่วนตัวมองว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้า หุ้นไอพีโอยังได้รับความสนใจจากนักลงทุนจำนวนมาก เพราะบริษัทมีกำไรเติบโตที่ดีจากที่รัฐบาลมีการลดภาษีนิตบุคคลทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้น 20% จากลดภาษีจาก 30% เป็น 20% ในปีหน้า ขณะที่ยังไม่รวมกำไรจากการดำเนินงานปกติ
นายแพทย์สมยศ อนันตประยูร ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ประกอบธุรกิจพัฒนาคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า กล่าวว่า บริษัทคาดว่ารายได้รวมปีนี้จะมีการเติบโตมากกว่า 280% จากปี 2554 ทีมีรายได้รวม 590 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้บริษัทได้มีการขายสินทรัพย์โครงการอาคารคลังสินค้าเข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์จำนวน 1,808.9 ล้านบาท ทำให้รายได้รวมในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้อยู่ที่ 1,985.6 ล้านบาท และมีรายได้จากเงินปันผลจากกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และค่าบริการคลังสินค้าอีก 180 ล้านบาท ขณะครึ่งปีหลังคาดว่าจะขายพื้นคลังสินค้า 1 แสนตารางเมตร ทำให้คาดว่าในปี 56 รายได้จะโต 33% โดยสัดส่วนรายได้ของบริษัทจะมาจากการจำหน่ายสินทรัพย์ฯ เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ 85% และที่เหลืออีก 15% เป็นค่าเช่าคลังสินค้า และการบริหารกองทุนอสังหาริมทรัพย์
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าปีหน้าจะมีการเติบโตมากขึ้นกว่าปีนี้ เนื่องจากรายได้ค่าเช่าคลังสินค้ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้น จากที่บริษัทมีแผนที่จะพัฒนาโครงการคลังสินค้าอีกประมาณ 2.5-3 แสนตารางเมตร โดยใช้เงินลงทุนในปีหน้า จำนวน 2,000 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งจะมาจากการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) และการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ฯ จากมีแผนขายในไตรมาส 1/2556 จำนวน 2,100 ล้านบาท ซึ่งมีขนาดพื้นที่ จำนวน 7 หมื่นตารางเมตร ทำให้ขนาดกองทุนอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 5,000 ล้านบาท
“7 ปีที่ผ่านมา กองทุนอสังหาริมทรัพย์ให้ผลตอบแทนการลงทุนเฉลี่ย 7-8% โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ที่ถือหน่วยนั้นจะเป็นนักลงทุนสถาบันเป็นส่วนใหญ่ เช่น กบข.และประกันสังคม โดยหลังจากที่บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วจะทำให้บริษัทมีหนี้สินต่อทุนต่ำลงเหลือ 2 เท่า จากปัจจุบัน 3 เท่า” นายแพทย์สมยศกล่าว