ผู้ว่าฯ ธปท.เร่งสร้างความเข้าใจประชาชนพร้อมคลายกฎให้สถาบันการเงินดูแลการปล่อยกู้รายย่อยต่างจังหวัดมากขึ้น ยอมรับหนักใจเข้าไปดูแลธุรกิจไม่ใช่สถาบันการเงิน แต่พร้อมแก้ปัญหา เผยจะนัดหารือธนาคารพาณิชย์ประเด็นสินเชื่อรถแลกเงิน ยอมรับในภาพรวมห่วงส่งออกหดกระทบการบริโภค และลงทุนในประเทศ
จากกรณีที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ฝากให้ ธปท.ช่วยดูแลบริษัทญี่ปุ่นที่มีธนาคารไทยช่วยสนับสนุนมาปล่อยกู้ให้ประชาชนในต่างจังหวัด และคิดดอกเบี้ยสูง นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า จากการหารือเจ้าหน้าที่ ธปท.พบว่า บริษัทเหล่านี้ไม่ใช่ธุรกิจสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท.ซึ่งทำธุรกิจขาเดียวเฉพาะปล่อยกู้ แต่ไม่ได้ระดมเงินทุนจากประชาชน และส่วนใหญ่เป็นธุรกิจไฮเปอร์เชส ธุรกิจลีสซิ่ง โดยคาดว่าเบื้องต้นจะสร้างความเข้าใจให้แก่คนทั่วไปแทนที่จะเข้าไปกำกับดูแล พร้อมทั้งจะศึกษาแนวทางการช่วยเหลือ ซึ่งอาจจะคลายกฎระเบียบบางอย่าง เพื่อให้ธนาคารในระบบเข้าไปดูแลส่วนนี้
“ยอมรับว่าเป็นเรื่องนี้หนักใจพอควร เพราะกระจายอยู่เยอะ ไม่ใช่ธุรกิจการเงินเพียวๆ ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการในท้องถิ่น ขณะเดียวกัน กำลังของแบงก์ชาติก็จำกัดในระดับหนึ่ง ฉะนั้น โจทย์ไม่ใช่เรื่องความมั่นคงที่จะดูว่าเป็นการระดมทุนประชาชนจนกระทบวงกว้างหรือไม่ แต่เป็นโจทย์ความผาสุกของประชาชน ส่วนสินเชื่อรถแลกเงินที่นำของไปจำนำ เน้นใช้ก่อนออมเงินนั้น และโฆษณาปลุกเร้า เรื่องนี้จะนัดหารือกับธนาคารพาณิชย์มาคุยเร็วๆ นี้”
ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวว่า ธปท.จะมีการปรับประมาณการตัวเลขส่งออกของไทยลดลงต่ำกว่า 7% ซึ่งเป็นตัวเลขปัจจุบันใหม่ในปีนี้ แต่เชื่อว่าภาคการส่งออกไทยลดลงครั้งนี้จะมีผลต่ออัตราการขยายตัวเศรษฐกิจที่ ธปท.ประมาณการไว้ในปัจจุบันไม่มากนัก เพราะทุกฝ่ายเข้าใจดีว่า การส่งออกหดตัวกันทั่วโลก ซึ่งรวมถึงไทยด้วย แต่ห่วงว่าอีกสักระยะหนึ่งอาจจะกระทบการบริโภค และการลงทุนภายในประเทศต่อไป
ประเด็นที่สังคมต้องการให้ ธปท.กล้าลุกขึ้นพูดกับนักการเมืองเมื่อมีสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นนั้น ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวว่า เรื่องนี้ควรทำแต่พอเหมาะพอดี แต่จะให้ ธปท.ที่เป็นภรรยาไปเตือนสามีในทุกเรื่องคงไม่ได้ เช่น ใช้จ่ายเยอะเกินไปแล้วนะเดี๋ยวจะแย่ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ธปท.จะพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ขณะเดียวกัน ต้องระวังความรู้สึกด้วยเดี๋ยวเขาจะเขม็งได้ และบางทีอาจโดนย้อนศรกลับมา จึงควรประมาณตนในระดับหนึ่ง และจะนำจุดแข็งที่มีอยู่ในการรวบรวมข้อมูลมาช่วยกันคนละไม้คนละมือจะดีกว่า
ส่วนการขาดทุนของ ธปท.เป็นเรื่องที่ ธปท.ไม่ได้นิ่งนอนใจ และไม่ได้เป็นสถาบันพิเศษ เมื่อขาดทุนแล้วไม่เป็นไร แต่ขณะนี้ ธปท.อยู่ระหว่างหาวิธีการบรรเทา และส่วนหนึ่งเงินทุนสำรองระหว่างประเทศได้กระจายไปลงทุนในสกุลเงินอื่นที่มีความมั่นคง และสภาพคล่องสูง นอกเหนือจากสกุลเงินหลัก อีกทั้งภาคธุรกิจต้องปรับตัวหันมาพึ่งพาสกุลเงินที่ 3 ที่มีการค้าขายระหว่างกัน ไม่ใช่แค่สกุลเงินหลักที่มีปัญหาในขณะนี้ และจะเข้าไปดูแลเฉพาะเกิดความผิดปกติเท่านั้น ซึ่งตลอดช่วง 1 ปี 6 เดือนที่ผ่านมา ธปท.ไม่ได้เข้าไปแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนมากนัก ซึ่งหวังว่าวันหนึ่ง ธปท.จะสามารถมั่นใจเต็มที่ และเต็มปากว่าจะไม่เข้าไปยุ่ง เพื่อให้ภาคธุรกิจปรับตัวได้
