จากลูกชาวนายากจนที่ต้องดิ้นรนหาเงินส่งตัวเองเรียน เขาจากบ้านมาด้วยเงินติดตัวเพียง 400 บาท ผ่านงานขายมาสารพัด แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น เขาเก็บหอมรอมริบจนสามารถก่อร่างสร้างธุรกิจของตัวเอง
ปัจจุบัน ‘คมเดช อาบสุวรรณ์’ กลายเป็นเจ้าของธุรกิจที่มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 400 ล้าน มีบริษัทเป็นของตัวเองถึง 4 บริษัท และยังมีโรงงานให้เช่าอีก 2 แห่ง
อะไรที่ทำให้ผู้ชายคนนี้ประสบความสำเร็จขณะที่มีอายุเพียง 30 ต้นๆ และวันนี้คมเดชในวัย 43 ปีก็ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความฝันและแรงบันดาลใจที่อยากจะก้าวไปให้ถึง
• ลูกชาวนาที่เดินไปหาความฝัน
ในธุรกิจเฟอร์นิเจอร์สำนักงาน ต่างก็รู้จักชื่อของ ‘คมเดช’ เป็นอย่างดี เพราะเขาคือเจ้าของโรงงานไทยร็อคเฟอร์เทค ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์สำนักงานภายใต้แบรนด์ ‘ROCKY’ ซึ่งเป็นที่นิยมในตลาด แต่กว่าจะฝ่าฟันมาถึงทุกวันนี้ได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย คมเดชเล่าถึงชีวิตในวัยเยาว์ที่เติบโตมากับความยากลำบากว่า
“ผมเกิดที่จังหวัดกำแพงเพชร เป็นลูกคนสุดท้อง ครอบครัวทำนา แล้วคุณพ่อคุณแม่มีลูกตั้ง 7 คน ก็เลยไม่ค่อยพอใช้ ด้วยความที่ชีวิตตอนเด็กๆยากจนมาก ผมก็เลยมีความฝันว่าอยากจะรวย อยากมีบ้านอยู่ อยากมีรถขับ มีธุรกิจเป็นพันๆล้าน
แล้วผมเป็นคนไม่อายที่จะขายของนะ เพราะเห็นแม่ขายไส้กรอก ขายนั่นนี่มาตั้งแต่เด็กๆ ผมก็หาสตางค์ใช้มาตั้งแต่อยู่ ป.4-ป.5 พี่สาวทำขนม ผมก็เอาไปขายที่โรงเรียน หรือบางทีอยากได้อะไรก็จะขอแม่ ว่าวันนี้ไส้กรอกเนี่ยผมขอทำเองหมดเลยนะ คือยัดไส้เอง ปิ้งเอง ขายเองหมด แล้วกำไรที่ได้จะขอไปซื้อของนะ
แต่ผมมาเริ่มใช้ชีวิตด้วยตัวเองจริงๆ ตอนอยู่มหาวิทยาลัย คือจบ ม.6 คุณแม่ซึ่งเป็นเสาหลักหาเลี้ยงคนทั้งบ้านเสียชีวิต แล้วเราเอ็นทรานซ์ไม่ติด ก็ตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯไปเรียนรามคำแหง ตอนนั้นมีเงินติดตัวมาแค่ 400 บาท ก็เรียนไปทำงานไป พอมีสตางค์เหลือบ้างก็ส่งไปให้คุณพ่อใช้ เพราะท่านอายุมากแล้ว ทำงานไม่ค่อยไหว
ผมเช่าห้องราคา 800 บาท อยู่กับเพื่อน 8 คน เฉลี่ยคนละร้อย ซึ่งห้องเล็กมาก เรียกว่านอนพร้อมกัน 8 คนไม่ได้ ก็ต้องผลัดกันนอน เพื่อนเลยไปทำงานโรงงานอยู่กะกลางคืน แล้วกลับมานอนตอนกลางวัน ส่วนผมทำงานกลางวัน เป็นพนักงานขาย เพราะเชื่อว่างานขายเนี่ยมันจะต่อยอดให้เราไปเป็นเถ้าแก่ได้” คมเดชเล่าถึงช่วงที่ยากลำบากที่สุดของชีวิต
• จากเซลแมน สู่เจ้าของโรงงาน
เขาผ่านงานขายมาสารพัด ทั้งเครื่องนวดไฟฟ้า ขายแอร์ เป็นเซลขายยา ขายสื่อสมาชิกให้กับหนังสือพิมพ์ธุรกิจ แต่ไม่ว่าจะขายอะไร เขาตั้งเป้าไว้เสมอว่าจะต้องเป็น ‘ท็อปเซล’ ของบริษัทให้ได้ ซึ่งเขาก็สามารถทำยอดขายได้สูงที่สุดเสมอ และแล้ววันหนึ่งประตูเถ้าแก่ก็เริ่มเปิด เมื่อคมเดชสมัครเข้าไปเป็นพนักงานขายเฟอร์นิเจอร์สำนักงาน ทำให้เขาเห็นช่องทางว่า เป็นธุรกิจที่ทำกำไรดี เพราะส่วนต่างของต้นทุนกับราคาขายนั้นสูงมาก เขาจึงตัดสินใจผันตัวมาเป็นผู้ผลิตเอง และก่อตั้งบริษัท ไทยร็อคเฟอร์เทค จำกัด ขึ้นในปี 2539
“ต้องบอกว่าเจ้านายเก่าผม คือคุณนิพนธ์ ยงสงวนชัย ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทดำรงชัย เป็นคนที่มีบุญคุณกับผมมาก และทำให้ผมมีวันนี้ คือในวันที่ผมเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง ผมเดินไปบอกกับเจ้านายว่า...เจ้านายครับ ผมสามารถผลิตพาร์ติชั่นที่ผมขายอยู่ได้ เจ้านายช่วยสนับสนุนหน่อยนะครับ ผมจะทำโรงงาน ผลิตของดีมีคุณภาพ แล้วขายให้เจ้านายในราคาถูก เจ้านายช่วยซื้อผมด้วยนะ คือมัดมือชกน่ะครับ (หัวเราะ)
เจ้านายก็ใจดีมาก ให้โอกาส แล้วตอนนั้นผมยังเป็นเซลที่บริษัทดำรงชัยอยู่นะ ก็เป็นเซลด้วย เป็นเจ้าของโรงงานด้วย ตอนนั้นผมมีเงินแค่ 10,000-20,000 เองนะ ก็ใช้วิธีบอกเจ้าขายว่าเงินผมน้อย ส่งของแล้วผมขอเบิกเงินเลย ได้กำไรมาก็ค่อยๆเพิ่มกำลังการผลิต ก็ต้องประหยัดอดออมทุกอย่าง เพราะเราไม่ได้มีทุนรอนเหมือนคนอื่นเขา
ถึงจุดหนึ่งผมก็ขอเรียนเจ้านายว่า ผมขอออกไปบริหารที่โรงงานเต็มตัวนะ แกก็โอเค ทุกวันนี้ผมก็ยังไปกราบแกอยู่บ่อยๆ แล้วก็อุดหนุนสินค้าจากโรงงานแกด้วย คือเจ้านายผมทำเฟอร์นิเจอร์เหล็ก ส่วนผมผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ เราก็สั่งซื้อกันไปมา
ผมยังแซวแกว่าตอนนี้เจ้านายซื้อผมน้อยนะ ผมซื้อเจ้านายเยอะ ช่วยซื้อผมหน่อย (หัวเราะ) คือถ้าแกไม่ให้โอกาส ผมก็ยังเป็นเซลอยู่อย่างนั้น ไม่ได้มีธุรกิจร้อยล้านอย่างทุกวันนี้” นักธุรกิจร้อยล้านเล่าถึงเส้นทางชีวิตที่สู้ฝ่าฟันมาด้วยความอดทน
• หาจุดแข็งของตัวเองให้เจอ
ปัจจุบันคมเดชมีบริษัทเป็นของตัวเองถึง 4 บริษัท มูลค่ารวมถึง 400 ล้านบาท ซึ่งแต่ละบริษัทจะทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกัน ได้แก่ บริษัท ไทยร็อคเฟอร์เทค จำกัด เป็นผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ บริษัท อินเตอร์เฟอร์นิไลน์ จำกัด เป็นบริษัทจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ บริษัท ออนสเกล นำเข้าเฟอร์นิเจอร์จากเมืองจีน และบริษัท เบรน สตีล จำกัด ผลิตชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์ส่งออกประเทศญี่ปุ่น และป้อนให้แก่บริษัทไทยร็อกเฟอร์นิเจอร์ด้วย โดยแต่ละบริษัทจะแยกกันบริหารอย่างชัดเจน บริษัทไหนมีผลประกอบการดีก็สามารถแจกโบนัสให้พนักงานได้มากขึ้นตามไปด้วย
ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ทำให้ธุรกิจของเขาเติบโตอย่างมั่นคงก็คือ การหา ‘จุดแข็ง’ ของตัวเองให้เจอ !!
“ขณะที่เรามีบริษัทไทยร็อคเฟอร์เทคซึ่งผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ยี่ห้อร็อคกี้ เราก็ขยายกิจการไปเรื่อยๆ และเมื่อ 4 ปีที่แล้วผมบังเอิญได้เจอกับมิสเตอร์หง ซึ่งมีบ้านอยู่ที่ฟางเจาหรือฝอซาน ซึ่งเป็นแหล่งผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผมจึงได้มีโอกาสนำเข้าเฟอร์นิเจอร์จากฟางเจามาจำหน่ายในไทย จึงตัดสินใจร่วมทุนกับมิเตอร์หง เปิดบริษัทชื่อออลสเกล เพื่อนำเข้าเฟอร์นิเจอร์จากจีน
หลังจากน้ำท่วมหนักเมื่อปีที่แล้ว ความนิยมในเฟอร์นิเจอร์ไม้ลดลง คนหันมาใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ผลิตจากเหล็กมากขึ้น เราจึงนำเข้าเฟอร์นิเจอร์เหล็กจากเมืองจีน ต่อมาเราได้รู้จักกับกับบริษัทซังเคอิซึ่งเป็นบริษัทญี่ปุ่น เขาต้องการให้เราผลิตชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์ โดยทางซังเคอิได้นำเครื่องจักรและโนฮาวที่ทันสมัยคือการใช้โรบอตเชื่อมหมด จัดตั้งบริษัทเบนสตีล ซึ่งผลิตและส่งออกชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์ไปญี่ปุ่น
เนื่องจากในตลาดเฟอร์นิเจอร์ ถือว่าเราเป็นรายเล็ก เราจึงต้องหาจุดแข็งในการทำตลาด ถ้าเราไปแข่งกับเจ้าใหญ่เนี่ยะโอกาสเกิดมันน้อย เราจึงเลี่ยงมาแข่งในตลาดออนไลน์ ซึ่งกลยุทธ์ของเราคือนอกจากจะส่งขายตามร้านทั่วไปแล้ว เรายังขายผ่านเว็บไซต์ซึ่งถือเป็นช่องทางการตลาดที่ดีและยังมีคู่แข่งน้อย แล้วตลาดออนไลน์ก็โตขึ้นเรื่อยๆ เมื่อก่อนอาจจะอยู่ที่ 3-5% แต่ปัจจุบันส่วนแบ่งการตลาดขึ้นไปถึง 10% แล้ว
ตอนนี้เราก็ขายผ่านเว็บไซต์ www.rockyfurniture.com ซึ่งกลุ่มลูกค้าหลักๆของเราก็จะเป็นผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม โดยเฉพาะโรงงานญี่ปุ่น ก็ถือว่าเราเดินมาถูกทางที่ลงมาเล่นในตลาดออนไลน์ซึ่งยังมีที่ว่างอยู่เยอะ แทนที่จะดันทุรังสู้กับเจ้าใหญ่ๆที่ขายตามช็อปต่างๆ” คมเดชเล่าถึงการเติบโตของธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ของเขาด้วยความภาคภูมิใจ
• ให้โอกาสลูกน้องเหมือนที่เคยได้รับ
คมเดชบอกว่า จากโอกาสที่เขาได้รับจากเจ้านายเก่า ทำให้อดีตเซลแมนอย่างเขาสามารถเติบโตขึ้นเป็นเจ้าของธุรกิจร้อยล้านได้ในวันนี้ ดังนั้น เขาจึงอยากมอบสิ่งที่เขาเคยได้รับให้แก่ลูกน้องบ้าง
ปัจจุบันเขาจึงพยายามผลักดันให้ลูกน้องที่ขยันและมีความตั้งใจ ได้มีโอกาสเติบโตขึ้นเป็นเจ้าของธุรกิจ โดยเริ่มจากการดึงลูกน้องที่ไว้ใจ ให้ขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท และถ้าหากใครต้องการออกไปสร้างธุรกิจของตัวเอง เขาก็พร้อมให้คำแนะนำและให้การสนับสนุน
“คือผมมองว่าโอกาสที่ผมได้รับจากเจ้านายเก่า มันเป็นสิ่งที่มีค่ามาก เวลาที่เห็นพนักงานในโรงงานของผม ผมก็นึกย้อนไปถึงวันที่เราเคยเป็นลูกจ้างเคยเป็นพนักงาน เพราะฉะนั้นผมก็อยากจะให้ในสิ่งที่ผมเคยได้รับ คือการให้โอกาสพนักงานได้เติบโตขึ้นมาเป็นเถ้าแก่ เป็นเจ้าของกิจการ
อันดับแรกเราก็เปิดโอกาสให้เขาเข้ามาถือหุ้นในบริษัท แล้วก็ให้อำนาจในการบริหารงาน ถ้าวันหนึ่งเขาพร้อมจะไปเปิดบริษัทเอง เราก็ยินดีช่วยเหลือสนับสนุน ซึ่งที่แน่ๆไม่ใช่เราให้เขาอย่างเดียว วันหนึ่งที่เขาโตเขาก็อาจจะกลับมาเป็นคู่ค้ากับเรา หรืออุดหนุนสินค้าเรา” คมเดชบอกยิ้มๆ
• โอกาส สัจจะ กตัญญู และอดทน
คือหนทางแห่งความสำเร็จ
สำหรับความสำเร็จที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขานั้น คมเดชบอกว่าไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่เกิดจากปัจจัย 4 ประการ นั่นคือ โอกาส ความมานะอดทน การรักษาสัจจะกับคู่ค้า และความกตัญญู หาโอกาสตอบแทนผู้มีพระคุณ
“คนเราจะประสบความสำเร็จได้ต้องมีหลายอย่างประกอบกัน 1. คือโอกาส ความสำเร็จที่เกิดขึ้นนั้น ผมคิดว่าเป็นโอกาส ผมไม่เรียกว่าโชค เพราะชีวิตนี้ผมคงไม่มีคำว่าโชคดีเท่าไหร่ โอกาสมันเกิดจากการแสวงหา ถ้าเราแสวงหามากก็จะมีโอกาสมาก ถ้าเจอโอกาสแล้วก็คว้ามันไว้ อย่าปล่อยไป แล้วผมคิดทุกวันว่าพรุ่งนี้ผมจะตาย ฉะนั้นผมจะทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะถ้าพรุ่งนี้ตายไปก็คงไม่มีโอกาสได้ทำ
2. ความอดทน คือเราต้องอดทนทั้งต่อความยากลำบาก สู้ไปจนกว่าจะสำเร็จ แล้วก็ต้องอดทนที่จะสู้กับกิเลส คือผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข ปกติผมไม่ดื่มเหล้า นอกจากจำเป็นจริงๆ ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน
3. ต้องมีสัจจะ เพราะการทำธุรกิจเนี่ยเครดิตเป็นเรื่องสำคัญ เสียอะไรเสียได้แต่อย่าเสียคำพูด ถึงเวลานัดว่าจะจ่ายเงินให้เขาก็ต้องจ่าย ไม่ว่าจะหามาจากทางไหน ผมยึดเรื่องนี้มาตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจจนถึงทุกวันนี้ คือมันเป็นเครดิตที่ตีเป็นมูลค่าไม่ได้เลย เพราะถ้าคู่ค้าเขาไว้วางใจเราแล้ว การทำธุรกิจจะราบรื่นมาก เราสามารถเอาของเขามาก่อนโดยที่ยังไม่ต้องชำระเงิน เขาไว้ใจเราแล้วเราต้องการเท่าไรก็ได้ ซึ่งมันตีเป็นมูลค่าไม่ได้ครับ
และประการที่ 4 ความกตัญญู ซึ่งเป็นสิ่งที่ลืมไม่ได้ ผมจะนึกถึงทุกคนที่มีบุญคุณกับผม แล้วต้องหาโอกาสตอบแทน ตั้งแต่คุณพ่อที่เลี้ยงผมมา ผมก็เลี้ยงดูท่านให้สุขสบายจนถึงวาระสุดท้ายของท่าน หรือคุณนิพนธ์ เจ้านายเก่าผม เป็นคนที่มีพระคุณกับผมมาก ช่วยเหลือผมมาตลอด แกให้เครดิตผมเยอะมาก เราก็เอาเครดิตตรงนั้นมาหมุนมาอะไรไปก่อน ซึ่งทำให้เราสามารถนำตรงนี้ไปต่อยอดไปทำเงินได้ ก็เป็นบุญคุณที่เราต้องตอบแทน”
นี่คงเป็นบทสรุปของผู้ชายสู้ชีวิตที่ชื่อ ‘คมเดช อาบสุวรรณ์’ ผุ้ชายที่ไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรค ไม่เฝ้ารอโชคชะตา แต่เลือกที่เดินไปหา ‘โอกาส’ มากกว่าจะรอให้โอกาสเดินเข้ามาหา
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 141 กันยายน 2555 โดย กฤตสอร)