xs
xsm
sm
md
lg

จับตาก่อสร้าง-วัสดุฯ ปรับตัวรับ AEC การตื่นตัวที่มาพร้อมกับวาระแห่งชาติ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภายหลังที่รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการปรับตัวของภาคเอกชน และหน่วยงานรัฐบาลเพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือกับการเปิดประชาคมเศราฐกิจอาเซียน (AEC) ให้เป็นวาระแห่งชาติ ส่งผลให้เกิดการตื่นตัวของภาคเอกชน และรัฐบาลในการปรับตัวรับมือกับการเปิดAEC ที่กำลังจะเริ่มขึ้นในปี 2558 ที่จะมาถึงนี้ โดยเฉพาะในส่วนของภาคเอกชนที่ประกอบธุรกิจก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ และวัสดุก่อสร้าง ซึ่งมีการปรับตัวในรอบด้านเพื่อรองรับการแข่งขันที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป้นการปรับโครงสร้างองค์กร การเพิ่มมูลค่าสินค้า การลดต้นทุนการผลิต และการเตรียมความพร้อมด้านแรงงาน ฯลฯ

ล่าสุด “ASTVผู้จัดการ” มีโอกาสได้พูดคุยกับผู้บริหารบริษัทวัสดุก่อสร้างกลุ่มกระเบื้องปูพื้น บุผนัง “โสสุโก้” บริษัทในเครือปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG พบว่า เป็นอีกบริษัทขนาดใหญ่ที่มีการเตรียมความพร้อมในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะในด้านการลดต้นทุน และการปรับตัวรองรับการทำงานร่วมกันของบุคลากรในองกรค์ที่จะเข้ามร่วมงานกันภายหลังการเปิด AEC โดยนายกิตติชัย ไกรก่อกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โสสุโก้ แอนด์ กรุ๊ป (2008)จำกัด กล่าวว่า การเตรียมความพร้อมรับมือในด้านการเพิ่มคุณภาพตัวสินค้า และการสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้านั้น บริษัทได้มีการปรับตัวมาระยะหนึ่งแล้ว ทำให้สินค้าของบริษัทเป็นที่ยอมรับจากผู้บริโภคในกลุ่มประเทศอาเซียน ทั้งในด้านรูปแบบ, ดีไซน์, คุณภาพ และราคาขาย

ส่วนในด้านการแข่งขันของตลาดในประเทศ และต่างประเทศนั้น เชื่อว่าการแข่งขันในด้านราคานั้นจะเกิดขึ้นบ้าง แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อสินค้าของบริษัท เนื่องจากเมื่อเปรียบเทียบคุณภาพ และมาตรฐานสินค้าแล้ว ผู้บริโภคในกลุ่มประเทศอาเซียนให้ความสำคัญกับเรื่องของคุณภาพ และดีไซน์มากกว่าราคา เนื่องจากเทคโนโลยีในการผลิตต่างๆ นั้นปัจจุบันหากเปรียบเทียบกันระหว่างผู้ผลิตจำหน่าย ในประเทศ และต่างประเทศไม่ทิ้งห่างกันมากนัก ดังนั้น ความสำคัญในเรื่องของการคุมต้นทุนเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ เพื่อรองรับการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นหลังปี 2558 บริษัทมีแผนจะใช้งบประมาณ 1,400 ล้านบาทในการลงทุนปรับปรุงคุณภาพเครื่องจักร และการผลิต เพื่อช่วยลดต้นทุนด้านการใช้พลังงานให่ต่ำลง เนื่องจากแนวโน้มต้นทุนด้านพลังงานนั้นมีการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในส่วนนี้จะทำให้เกิดผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตในอนาคตได้ นอกจากนี้ ยังมีแผนการเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับการขยายการส่งออกของบริษัทภายหลังปี 2557 ด้วย โดยจะใช้งบประมาณ200-300 ล้านบาทในการขยายโรงงานเพิ่มกำลังการผลิตสินค้า เพื่อให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 52 ล้านตารางเมตร (ตร.ม.) ต่อปี จากปัจจุบัน มีกำลังการผลิตที่ 48 ล้าน ตร.ม.

นอกจากนี้ สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ต้องมีการปรับตัวรองรับ การเปิด AEC คือ การหลอมรวมวัฒนธรรมในการทำงานร่วมกันของบุคลากรในองค์กรในอานคต เนื่องจากจะมีการไหลเข้าออก และการทำงานร่วมกันของแรงงานฝีมือ และบุคลากรมากขึ้น และเพื่อเป็นการสร้างการเติบโตในตลาดต่างประเทศมากขึ้น บริษัทได้จับมือกับพันธมิตรทางการค้า โดยให้บริษัท สุริยาสยาม เคอร์รามิค ทำให้ที่ดูแลด้านการตลาดในประเทศอินโดนีเซีย และบริษัท บาลิวาซา เป็นตัวแทนดูแลดารขายในประเทศฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ ในอนาคตยังมีแผนจะขยายตลาดด้วยการควบรวมบริษัทต่างชาติในการขยายตลาดด้วย

นายสัญชัย เนื่องสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บิวเดอสมาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ BSM หนึ่งในบริษัทผู้ดำเนินธุรกิจและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ก่อสร้างและตกแต่งภายในคุณภาพสูงแบบครบวงจร เปิดเผยว่า ในอีก 3 ปีข้างหน้า AEC เปิดเรามองว่าถ้าประเทศที่มีความความแข็งแกร่งมีศักยภาพด้านไหนจะได้รับผลประโยชน์มาก เช่นเดียวกับในประเทศไทยเองที่เรามีความแข็งแกร่งในด้านวัสดุก่อสร้างเราก็จะได้เปรียบ เนื่องจากเรามีโนว์ฮาว และโรงงานในการผลิต ซึ่งมันก็จะเป็นการตอบโจทย์ที่ดีได้ของบริษัทฯ เรา เนื่องจากเรามีฐานการผลิตเอง

โดยสินค้าที่จะนำไปยิปซัมจะเป็นคอมมูนิตีมอโปรดักต์ ที่เราจะส่งออกไปยังต่างประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม เราต้องยอมรับว่าในส่วนของผู้รับเหมาเราคงต้องใช้ในต่างประเทศในการติดตั้ง ขณะที่เฟสเชอร์เรามีดีไซน์ที่ดีและขนส่งง่าย ทั้งนี้ในอนาคตกลยุทธ์ที่จะใช้กับ AEC เราจะรุกหาพาร์ตเนอร์ในแต่ละประเทศ ซึ่งขณะนี้ มีติดต่อเข้ามาหลายรายแล้ว โดยพาร์ตเนอร์ที่จะเข้ามาจะต้องได้รับการอบรมจากบริษัทเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันกับการติดตั้ง โดยเราจะเป็นฐานการผลิตในประเทศไทย

ด้านนายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีดีเฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ พีดีเฮ้าส์ กล่าวว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีการปรับตัวเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับการเปิด AEC ที่จะถึงนี้ จากเดิมดำเนินธุรกิจรับสร้างบ้านโดย ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป บริษัทเดียว แต่ปัจจุบัน มีการแตกตัวออกเป็น 11 บริษัท ดำเนินกิจการ 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.ธุรกิจรับสร้างบ้าน 2.ธุรกิจบริหารสิทธิแฟรนไชส์ และ 3.ธุรกิจตัวแทนจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง

โดยในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการปรับโครงสร้างการบริหารงาน และแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง พร้อมมอบหมายให้ดูแลรับผิดชอบและบริหารงานทั้ง 11 บริษัท+20 แฟรนไชส์ โดยมีเป้าหมายที่จะมุ่งดำเนินธุรกิจไปในทิศทางเดียวกัน แบ่งออกเป็น 5 สายงานหลัก ประกอบด้วย สายงานธุรกิจแฟรนไชส์ (Franchise Business) สายงานการตลาด (Marketing) สายงานทรัพยากรและบุคคล (Human & Resource) สายงานออกแบบและวิศวกรรม (Engineer & Design) และสายงานมาตรฐานแฟรนไชส์ (Franchise Standard Controller)

นายพิศาล ธรรมวิเศษ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า อยากชี้ให้เห็นว่า การปรับตัวของผู้ประกอบการนั้น ไม่ใช่เพียงแค่การพูดคุย หรือจัดเวทีสัมมนากันเท่านั้น หากแต่ผู้ประกอบการจะต้องมีการขับเคลื่อนจากแผนงานไปสู่การปฏิบัติจริงแล้ว โดยเฉพาะบริษัทรับสร้างบ้านรายกลาง และรายเล็ก เพราะหากยังไม่มีทิศทางการปรับตัวเองที่ชัดเจน เมื่อเปิดสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีเต็มรูปแบบจะเสียเปรียบรายใหญ่มาก หรืออาจไม่มีที่ยืนบนเวทีธุรกิจรับสร้างบ้านอีกต่อไป เพราะบนเวทีการแข่งขันใหม่ภายใต้กรอบเออีซี กติกาจะเอื้อเฉพาะรายใหญ่ หรือรายที่เข้มแข็งกว่าเท่านั้น บริษัทรับสร้างบ้านรายกลางรายเล็ก จึงควรเร่งปรับตัวในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ 2 ปี 6 เดือนโดยเร็ว เพื่อสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางการค้าที่จะเกิดขึ้นได้ทัน
กำลังโหลดความคิดเห็น