“พีดี เฮ้าส์” แย้มแผนระยะยาวทยอยปรับโครงสร้างองค์กรรองรับแผนเข้าตลาดหุ้น หลังผลประกอบการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง หลังธุรกิจแฟรนไชส์รับสร้างบ้านผลิดอกออกผลเริ่มคืนทุน ส่งผลปี 55 กำไรขยับสูงขึ้น พร้อมเปิดแผนธุรกิจระยะยาว 5 ปีช่วงที่ 2 ลุยขยายสาขาแฟรนไชส์แบรนด์ “พีดี เฮ้าส์-เอคิวโฮม” เล็งส่งแบรนด์ “พีดี เฮ้าส์” บุกตลาดต่างประเทศ ลาว-พม่า-กัมพูชา รองรับการเปิด AEC
นายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานกรรมการ บริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป จำกัด ผู้ให้บริการแฟรนไชส์ธุรกิจรับสร้างบ้านภายใต้แบรนด์ “พีดี เฮ้าส์” เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้เริ่มทยอยปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ เพื่อรองรับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แต่การปรับโครงสร้างองค์กรดังกล่าวนั้นขณะนี้ยังไม่ชัดเจนมากนัก เนื่องจากอยู่ในขั้นตอนการเตรียมความพร้อม นอกจากนี้ นโยบายการลงทุนในสาขาแฟรนไชส์ใหม่ บริษัทจะคงสัดส่วนการลงทุนเองทั้งหมดในสัดส่วน25% ของสาขาแฟรนไชส์ ที่จะเปิดให้บริการครบทั้ง 50 สาขาภายในสิ้นปี 56
อย่างไรก็ตาม บริษัทจะไม่เร่งรีบในการเข้าจดทะเบียนในตลาดฯ มากจนเกินไป แต่จะให้น้ำหนักการขยายการลงทุนเปิดสาขาในต่างประเทศ หรือขยายตลาดออกไปต่างประเทศเสร็จสิ้นก่อน เพื่อเป็นการสะท้อนถึงโอกาสในการเติบโตของบริษัทต่อกลุ่มนักลงทุน และการเติบโตที่มั่นคงทางรายได้ของบริษัทเอง ซึ่งจะเป็นการช่วยแก้ปัญหาเรื่องการสร้างการรับรู้ และการสร้างความเข้าใจในตัวธุรกิจรับสร้างบ้านสำหรับนักลงทุน
“การสร้างการรับรู้และเข้าถึงแบรนด์ของพีดี เฮ้าส์ ในกลุ่มผู้บริโภคนั้นเราไม่กังวลมากนัก เพราะในการขยายสาขาเข้าไปในตลาดต่างจังหวัด ได้มีการทำการตลาดและประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้ารับทราบและเข้าถึงบริษัทอย่างต่อเนื่องในทุกพื้นที่”
นายสิทธิพรกล่าวว่าเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต บริษัทจึงอยู่ระหว่างการทำแผนธุรกิจระยะยาว 5 ปีช่วงที่ 2 ระหว่างปี 2557-2561 หลังจากที่แผนระยะยาวช่วงแรกที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2552-2556 เน้นการขยายตลาดใหม่ไปพร้อมกับการขยายฐานลูกค้าสู่ต่างจังหวัดให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ
โดยแผน 5 ปีระยะแรกนั้น พีดี เฮ้าส์ตั้งเป้าขยายสาขาให้บริการครอบคลุมตลาดต่างจังหวัด รวม 50 สาขา ปัจจุบันสามารถเปิดให้บริการแล้วทั้งสิ้น 26 สาขา
ส่วนในเวลาที่เหลือจากนี้จะเร่งขยายสาขาให้ครบทั้ง 50 สาขาให้ได้ตามเป้าที่วางไว้ในปี 2556 โดยในปีนี้มีแผนจะขยายสาขาใหม่เพิ่มให้ได้อีก 6-8สาขา ซึ่งล่าสุดมีการเซ็นสัญญากับลูกค้าแฟรนไชส์ใหม่แล้ว 5 ราย และจะมีเข้ามาใหม่อีก 2-3 ราย คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ทั้งหมดในปีนี้ อย่างไรก็ตาม หากบริษัทสามารถเปิดสาขาแฟรนไชส์ใหม่ได้ตามเป้า จะทำให้เหลือสาขาใหม่ที่ต้องเร่งเปิดให้บริการภายในปี 2556 เหลืออยู่ประมาณ 6-7 สาขา ซึ่งอาจจะทำให้การเปิดสาขาครบตามเป้าหมายล่าช้าออกไปถึงช่วงต้นปี 2557
ระยะ 2 ปั๊มสาขาแบรนด์ “เอคิวโฮม”
ทั้งนี้ การทำแผนระยะยาวช่วงที่ 2 นั้นยังไม่แล้วเสร็จ แต่ก็มีแผนคร่าวๆ ออกมาแล้วในเบื้องต้น โดยในช่วงที่ 2 นั้นจะมีการขยายตลาดออกไปทั้งในส่วนของแบรนด์พีดี เฮ้าส์ ซึ่งทำตลาดระดับกลาง-บน ราคาเริ่มต้น 3 ล้านบาทขึ้นไป และแบรนด์เอคิวโฮม ซึ่งเป็นแบรนด์ของตลาดรับสร้างบ้านระดับล่างราคา 1-2 ล้านบาท โดยในส่วนของแบรนด์พีดี เฮ้าส์นั้นจะมีการขยายสาขาให้ครอบคลุมตลาดมากที่สุด ซึ่งคาดว่าจะต้องขยายเพิ่มอีกไม่เกิน 10 สาขา และจะทำให้เมื่อเปิดสาขาครบทั้ง 2 ระยะ บริษัทจะมีสาขาภายใต้แบรนด์พีดี เฮ้าส์ รวม 60สาขา
อย่างไรก็ตามในส่วนของแผนระยะที่ 2 นั้นจะมีการขยายเพิ่มสาขาของแบรนด์เอคิวโฮม ซึ่งตั้งเป้าว่าจะเปิดให้ได้ 30 สาขาภายใน 5 ปี โดยล่าสุดในปี 2555 นี้บริษัทมีการเปิดสาขาภายใต้แบรนด์เอคิวโฮมไปแล้ว 2 สาขาจากเป้าที่วางไว้ 3 สาขา โดยสาขาที่ 3 ในปีนี้จะเป็นสาขาในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาคาดว่าจะได้ข้อสรุปทั้งหมดในเร็วๆ นี้
ขยายฐานสู่ ตปท.รับเปิดAEC
นอกจากนี้ ในช่วงที่ 2 ของแผนระยะยาวนี้ บริษัทยังมีแผนจะขยายธุรกิจออกไปสู่ตลาดต่างประเทศด้วย แต่การขยายตลาดไปในต่างประเทศจะต้องรอให้มีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 ก่อนจึงจะสามารถดำเนินการได้ ดังนั้น เพื่อเป็นการรองรับการขยายตลาดต่างประเทศ บริษัทจึงมีการเร่งศึกษาตลาด ทั้งในด้านดีมานด์ และซัปพลาย รวมถึงทำเลในการขยายธุรกิจและกฎหมายธุรกิจการลงทุนในแต่ละประเทศด้วย ซึ่งล่าสุดอยู่ระหว่างการศึกษาตลาดในประเทศลาว พม่า กัมพูชา และพบปะนักลงทุนเพื่อหาแนวทางการจับคู่ทางการค้ากับนักธุรกิจ ก่อนจะทยอยสรุปแผนต่อไป
“ตามแผนธุรกิจแฟรนไชส์พีดี เฮ้าส์ ของบริษัทนั้นจะเริ่มทยอยคืนทุนในช่วงปีที่ 3 ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาผลประกอบการและอัตราการขยายตัวของรายได้มีทิศทางที่ดีอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในปีนี้บริษัทเริ่มมีกำไรเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และหากเป็นไปตามแผนที่วางไว้ในปี 2556 ซึ่งบริษัท จะมีสาขาแฟรนไชส์ครบ 50 สาขา จะทำให้บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานอย่างเต็มที่ และต่อเนื่องมากขึ้น ซึ่งจะเป็นไปตามเกณฑ์กำหนดของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) สำหรับบริษัทที่มีแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อกระจายหุ้น ซึ่งจะต้องมีกำไรเติบโตต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 3 ปี” นายสิทธิพรกล่าวว่า