ASTVผู้จัดการรายวัน - “ซีอาร์ซี” สยายปีก ดันเซ็นทรัลสู่อินเตอร์เนชันแนลแบรนด์ ขยับสัดส่วนรายได้ต่างประเทศ 50% เท่ากับในไทยในอีก 5 ปี ปรับองค์กรรองรับ เปิดทางรับผู้บริหารระดับสูง 5 คน พร้อมรับ เออีซี ชู ไอเดียให้รัฐตั้งไทยแลนด์อิงค์ นำทัพธุรกิจไทยไปลงทุนต่างประเทศ
นายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินงาน ว่า บริษัทวางแผนขยายธุรกิจไปต่างประเทศเพิ่มขึ้น เพื่อยกระดับเซ็นทรัลให้เป็นอินเตอร์เนชันแนลแบรนด์ไม่ใช่แค่โลคอลแบรนด์เท่านั้น โดยวางเป้าหมายสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ 50% กับรายได้ในประเทศ 50% เท่ากันภายในช่วง 5 ปีจากนี้
บริษัทเริ่มขยายการลงทุนไปต่างประเทศอย่างจริงจัง เมื่อปี 2553 ตอนนั้นมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพียง 0.2% และในประเทศ 99.8% จากยอดขายรวม 97,673 ล้านบาท ต่อมาปี 2554 สัดส่วนต่างประเทศเพิ่มเป็น 7% และในประเทศ 93% จากรายได้รวม 115,344 ล้านบาท เติบโต 18% และปีนี้ตั้งเป้าหมายสัดส่วนรายได้ต่างประเทศเพิ่มเป็น 14% ในประเทศ 86% จากรายได้รวมที่ตั้งไว้ 160,553 ล้านบาท เติบโต 39% โดยสัดส่วนรายได้ในประเทศปีนี้จะแบ่งเป็นกลุ่มห้างสรรพสินค้า 43% (ปีที่แล้ว 46%), กลุ่มร้านสเปเชียลตี้สโตร์ 34% (ปีที่แล้ว 30%) และกลุ่มซูเปอร์มาร์เก็ต 23% (ปีที่แล้ว 24%) ขณะที่สัดส่วนรายได้จากกรุงเทพฯปีนื้ 64% (ปีที่แล้ว 68%) จากต่างจังหวัด 36% (ปีที่แล้ว 32%) จากจำนวนสาขารวมปีนี้ที่คาดว่า จะมี 847 สาขา (ปีที่แล้วมี 549 สาขา)
ทั้งนี้ บริษัทได้วางแผนรองรับการขยายตัวด้วยการปรับโครงสร้างองค์กรเสริมทัพผู้บริหารใหม่ จะมีทั้งคนไทยและคนต่างชาติที่เข้ามาร่วมงานในระดับบริหารระดับสูง 4-5 ท่าน และเตรียมจะเปิดตัวเป็นทางการในเดือนเมษายนนี้
ล่าสุด ได้ประกาศแต่งตั้ง นายอลัน จอร์ช ทอมสัน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีอาร์ซีสปอร์ต จำกัด ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจระหว่างประเทศ และ นางสาวจริยา จิราธิวัฒน์ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโสฝ่ายพัฒนาธุรกิจ มีหน้าที่หลัก คือ การดูแลรับผิดชอบการขยายธุรกิจของบริษัทในเครือเซ็นทรัลรีเทลไปยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน ไม่ว่าจะเป็น พม่า อินโดนีเซีย เวียดนาม เป็นต้น
ส่วนงบประมาณที่เตรียมลงทุนในปีนี้ทั้งในและต่างประเทศรวมไว้ที่ 28,000 ล้านบาท แบ่งเป็น การลงทุนโครงการปกติ 15,000 ล้านบาท และงบในการควบรวมกิจการ 10,000 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้วที่ใช้งบลงทุนรวม 23,000 ล้านบาท แบ่งเป็น งบลงทุนโครงการปกติ 13,000 ล้านบาท และงบควบรวมกิจการ 10,000 ล้านบาท
ปัจจุบันซีอาร์ซีมีธุรกิจในต่างประเทศแล้ว คือ ห้างสรรพสินค้าลารีนาเซนเต ที่อิตาลี 11 สาขา มียอดขาย 18,000 ล้านบาทปีที่แล้ว ห้างสรรพสินค้าที่จีน 3 สาขา เป็นต้น ส่วนปีนี้จะขยายเพิ่มด้วยการเปิดห้างเซนและเซ็นทรัล ที่เสินหยาง ประเทศจีน ขณะที่ในไทยจะขยายสาขาต่อเนื่อง เช่น ร้านไทวัสดุ 9 สาขา, ร้านเพาเวอร์บาย 2 สาขา, ท็อปส์เดลี่ 210 สาขา ห้างโรบินสัน 5 สาขา ร้านโฮมเวิร์ค 1 สาขา เป็นต้น
สำหรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้บริษัทขยายต่างประเทศมากขึ้นด้วย ซึ่งเราสนใจทุกประเทศในอาเซียนแต่ที่น่าสนใจมาก ก็คือ พม่า กับเวียดนาม ขณะที่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ เขาไปไกลมากแล้ว ขณะที่ภูมิภาคอื่นเช่น อินเดีย แอฟริกา ตะวันออกกลาง เราก็สนใจเช่นกัน ล่าสุด เซ็นทรัลได้มีการเจรจากับทางซัปพลายเออร์ประมาณ 25 รายของคนไทยในเบื้องต้น ว่า เราจะมีวิธีการร่วมมือกันในการบุกตลาดต่างประเทศอย่างไรดี ขณะที่ภาพรวมเรามีซัปพลายเออร์รวมทั้งหมดกว่า 5,000 ราย
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแนวคิดว่า รัฐบาลควรจะเข้ามาเป็นตัวกลางในการประสานงานและรวมกลุ่มธุกริจเอกชนในรูปแบบไทยแลนด์อิงค์ (Thailand Inc.) เพื่อไปลงทุนเป็นโครงการขนาดใหญ่ในประเทศนั้นๆ เช่น พม่า หรือ เวียดนาม เช่น อาจจะเสนอขอสัมปทานพื้นที่ขนาด 2,000 ไร่ สร้างเมืองใหม่ขึ้นมาประกอบด้วยหลายส่วน ซึ่งจะทำให้เอกชนของไทยมีความสะดวกสามารถทำธุรกิจได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีช่องทางที่เข้ามาเสริม เช่น เหมือนกับ บีโอไอ ที่เป็นองค์กรให้การสนับสนุนการลงทุนดึงเงินต่างประเทศเข้ามา เราก็ควรจะมีองค์กรที่นำเงินไทยไปลงทุนต้างประเทศเพื่อสร้างรายได้กลับเข้ามาประเทศไทยด้วย
แต่ปัญหาหลักขณะนี้ คือ เรื่องความพร้อมของคนไทยในด้านภาษาอังกฤษ ซึ่งเมื่อเปิดเออีซีแล้ว เราจะเสียเปรียบอย่างมาก เพราะคนไทยพูดภาษาอังกฤษได้น้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งอีกหลายองค์กรของไทยยังพึ่งพาแรงงานคนเป็นหลักจะมีต้นทุนสูง ยิ่งเมื่อมีการปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน และปริญญาตรีขั้นต่ำ 15,000 บาทต่อเดือน ก็ยิ่งเป็นต้นทุนที่สูงขึ้นด้วย