นายก ส.สินเชื่อเช่าซื้อฯ คาดแนวโน้มตลาดรถยนต์ปีนี้ เติบโตได้ 32-38% ยอดขายทะลุ 1 ล้านคัน “ดบ.-หนี้เสีย” ยังอยู่ในระดับต่ำ แม้ราคาน้ำมัน และค่าครองชีพจะปรับเพิ่มขึ้น แต่รายได้ของผู้เช่าซื้อปรับสูงขึ้นตามไปด้วย
นายอิสระ วงศ์รุ่ง นายกสมาคมสินเชื่อเช่าซื้อ และประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด คาดการณ์ทิศทางตลาดรถยนต์ในปีนี้ โดยมองว่า ตลาดมีโอกาสจะเติบโตได้ถึงร้อยละ 32-38 และคาดว่ายอดขายรถยนต์ในประเทศตลอดปีนี้จะอยู่ที่ 1,050,000-1,100,000 คัน
ขณะที่ธุรกิจเช่าซื้อน่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีกระยะหนึ่ง โดยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์คงค้างปัจจุบัน ซึ่งมียอดรวมกว่า 600,000 ล้านบาท คาดว่าจนถึงสิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 830,000 ล้านบาท
ส่วนหนี้เสียของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ยังอยู่ในระดับต่ำ ไม่ถึงร้อยละ 1 แม้ว่าราคาน้ำมันและค่าครองชีพจะปรับเพิ่มขึ้น แต่รายได้ของผู้เช่าซื้อปรับสูงขึ้นตามไปด้วย
ขณะเดียวกัน สินเชื่อรถแลกเป็นเงิน ก็เป็นอีกสินเชื่อหนึ่งที่ได้รับความนิยมสูงขึ้น โดยช่วงไตรมาสแรกจะขยายตัวดี สะท้อนผู้ที่ต้องการใช้เงิน นำทะเบียนรถมาแลกเป็นเงินมากขึ้น
ขณะที่มาตรการกระตุ้นยอดขายรถยนต์ เช่น การต่ออายุโครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรก การปรับอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ และทิศทางราคาน้ำมัน จะมีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค
ด้าน นายอัครนันท์ ฐิตสิริวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด ยอมรับว่า อุตสาหกรรมรถยนต์ของไทย ไตรมาสแรกปีนี้ กลับมาเติบโตอย่างรวดเร็วอีกครั้ง หลังจากได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ เมื่อปลายปีที่แล้ว ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ในประเทศในไตรมาสแรกปี 2555 อยู่ที่ 277,631 คัน เพิ่มจากปีช่วงเดียวกันของที่แล้ว ร้อยละ 16.3 โดยเฉพาะเดือนมีนาคม 2555 สามารถทำยอดขายได้จำนวน 110,928 คัน ซึ่งเป็นสถิติยอดขายต่อเดือนที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มียอดขายต่อเดือนมากกว่า 100,000 คัน
“จากยอดขายรถยนต์ที่บูมมาก ส่งผลให้บริษัทสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ไตรมาสแรกปีนี้ได้สูงถึง 17,519 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 3,700 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.78 และสูงกว่าเป้าที่ได้ตั้งไว้ปีนี้”
ทั้งนี้ แบ่งเป็นสินเชื่อเช่าซื้อ และลีสซิ่งรถยนต์ใหม่ 8,679 ล้านบาท สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 2,144 ล้านบาท หรือคิดเป็น ร้อยละ 32.81% สินเชื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ 8,840 ล้านบาท สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 2,340 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 36
ขณะที่สินเชื่อคงค้างในระบบ (Outstanding Loan) ของบริษัทฯ อยู่ที่ 66,821 ล้านบาท จากเป้าที่ตั้งไว้ 64,789 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.14 สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL อยู่ที่ร้อยละ 0.97 จากเป้าที่ตั้งไว้ ร้อยละ 1.15 ส่งผลให้ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2555 ของบริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย มีกำไร 102 ล้านบาท จากเป้าที่ตั้งไว้ที่ 98 ล้านบาท หรือสูงกว่าเป้าหมาย ร้อยละ 4.08
สำหรับภาพรวมตลาดรถยนต์มือสอง ซึ่งเคยเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ประกอบการบางรายในการขยายฐานสินเชื่อที่สร้างรายได้จากมาร์จิ้น (Margin) อาจได้รับผลบวกลดลง เนื่องจากส่วนต่างระหว่างราคารถใหม่กับรถเก่าบางรุ่นที่แคบลง
ส่วนมาตรการกระตุ้นยอดขายรถยนต์จากภาครัฐและเอกชนในช่วงที่เหลือ เช่น ความคืบหน้าในการต่ออายุโครงการรถยนต์คันแรก การปรับอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ ความนิยมของผู้บริโภคต่อรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่เปิดตัวออกมา ทิศทางราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ ประกอบกับทิศทางเศรษฐกิจทั้งใน และต่างประเทศ น่าจะมีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค
ขณะที่กลยุทธ์ในไตรมาสที่ 2 ปี 55 บริษัทจะใช้กลยุทธ์ยึดความต้องการของลูกค้า คู่ค้าเป็นศูนย์กลาง โดยคาดว่า ในช่วงไตรมาสที่ 2 กลุ่มรถยนต์ประเภท Eco Car, Super Car และ Pick-Up มีแนวโน้มจะได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งทางบริษัทฯ ได้ออกแคมเปญส่งเสริมการขายเพื่อตอบสอดรับกับตลาดขาขึ้น เช่น Mitsubishi รุ่น Mirage
ทั้งนี้ บริษัทได้เสนอโปรแกรมผ่อนแบบ Balloon ซึ่งเป็นการผ่อนชำระที่ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการสภาพคล่องทางการเงินสูง และมีเงินหมุนเวียน นอกจากนี้ ยังร่วมกับผลิตภัณฑ์ในเครือธนาคารกสิกรไทย ในการออกแคมเปญโปรโมชันต่างๆ เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้า และคู่ค้าอย่างสูงสุด
นอกจากนั้น บริษัทยังได้ศึกษาเพื่อขยายตลาดไปยังกลุ่มตลาดรถจักรยานยนต์ โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ในกลุ่ม Big Bike เพราะลูกค้ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูง มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเริ่มทำตลาดในครึ่งปีหลัง