xs
xsm
sm
md
lg

เคลีสซิ่งสินเชื่อกระฉูด 26.8% รับยอดขายรถบูม-เล็งปรับเป้า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ลีสซิ่งกสิกรไทยสินเชื่อพุ่งรับตลาดรถบูมสุดสุด ยอดสินเชื่อใหม่ไตรมาสแรก 1.7 หมื่นล้าน เติบโต 26.8% สูงกว่าเป้า 34.40% กำไร 102 ล้านบาท สูงกว่าเป้า 4.08% เล็งปรับเป้าเพิ่มช่วงครึ่งปีหลัง

นายอัครนันท์ ฐิตสิริวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงไตรมาสแรกสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ถึง 17,519 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 3,700 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 26.78% และสูงกว่าเป้าที่ได้ตั้งไว้ปีนี้ คือ 13,035 ล้านบาท หรือคิดเป็น 34.40% ทั้งนี้ แบ่งเป็นสินเชื่อเช่าซื้อ และลีสซิ่งรถยนต์ใหม่ 8,679 ล้านบาท สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 2,144 ล้านบาท หรือคิดเป็น 32.81% สินเชื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ 8,840 ล้านบาท สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 2,340 ล้านบาท หรือคิดเป็น 36%

ขณะที่สินเชื่อคงค้างในระบบ (Outstanding Loan) ของบริษัทอยู่ที่ 66,821 ล้านบาท จากเป้าที่ตั้งไว้ 64,789 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.14% สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL อยู่ที่ 0.97% จากเป้าที่ตั้งไว้ 1.15% ส่งผลให้ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2555 ของบริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย มีกำไร 102 ล้านบาท จากเป้าที่ตั้งไว้ที่ 98 ล้านบาท หรือสูงกว่าเป้าหมาย 4.08%

ทั้งนี้ เป็นผลจากการที่อุตสาหกรรมรถยนต์ไทยกลับมาเติบโตอย่างรวดเร็วอีกครั้ง หลังจากได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อปลายปีที่แล้ว ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ในประเทศในไตรมาสแรกปี 55 อยู่ที่ 277,631 คัน เพิ่มจากปีช่วงเดียวกันของที่แล้ว 16.3% และคาดว่ายอดขายรถยนต์ตลอดปี 55 น่าจะอยู่ที่ 1.05-1.10 ล้านคัน หรือขยายตัวประมาณ 32%-38%

ด้านนายอิสระ วงศ์รุ่ง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ บริษัทจะยังไม่มีการทบทวนเป้าหมายทั้งปีที่ตั้งไว้ แม้ว่ายอดสินเชื่อในไตรมาสแรกจะเกินกว่าเป้าที่ตั้งไว้ คงจะรอดูในช่วงครึ่งปีแรกของปีก่อน หากมียอดเกินเป้าอยู่ ก็จะเสนอคณะกรรมการเพื่อปรับเพิ่มเป้าหมายต่อไป ซึ่งเชื่อว่าสินเชื่อใหม่ของบริษัทในปีนี้น่าจะแตะที่ระดับ 8 หมื่นล้านบาทได้ จากเป้าที่ตั้งไว้ 5.9 หมื่นล้าน

“ปัจจัยเสี่ยงในช่วงนี้เป็นเรื่องของภัยธรรมชาติมีความรุนแรงขึ้น ขณะที่ราคาน้ำมันที่สูงก็อาจจะส่งผลกระทบบ้างแต่ไม่มากนัก เนื่องจากขณะนี้ มีรถอีโคคาร์ออกมามาก ส่วนปัจจัยสนับสนุนยังเป็นส่วนของนโยบายรัฐเรื่องที่น่าจะมีการต่ออายุโครงการรถคันแรก และการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่”

สำหรับกลยุทธ์ในไตรมาสที่ 2 ปี 55 บริษัทจะใช้กลยุทธ์ยึดความต้องการของลูกค้า คู่ค้าเป็นศูนย์กลาง โดยคาดว่า ในช่วงไตรมาสที่ 2 กลุ่มรถยนต์ประเภท Eco Car, Super Car และ Pick-Up มีแนวโน้มจะได้รับความนิยมมากขึ้น รวมทั้งยังได้ศึกษาเพื่อขยายตลาดไปยังกลุ่มตลาดรถจักรยานยนต์ โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ในกลุ่ม Big Bike เพราะลูกค้ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูง มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเริ่มทำตลาดในครึ่งปีหลังปีนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น