ASTVผู้จัดการรายวัน - ลีสซิ่งกสิกรไทยเดินหน้าสินเชื่อเช่าซื้อรถ ตั้งเป้าปล่อยกู้ใหม่ 5.9 หมื่นล้าน หรือเติบโต 38% ดันยอดคงค้างแตะ 8.2 หมื่นล้าน มั่นใจตลาดฟื้นไตรมาสแรก รับอานิาสงส์มาตรการรัฐ-แรงซื้ออั้นจากปีก่อน
นายอิสระ วงศ์รุ่ง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ผลประกอบการโดยรวมของบริษัทปี 2554 ที่ผ่านมาออกมาเป็นที่น่าพอใจ แม้ว่าในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีจะได้รับผลกระทบจากอุทกภัยร้ายแรง ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์จากที่คาดการณ์ไว้ในระดับ 9 แสน-1 ล้านคัน เหลือไม่ถึง 8 แสนคัน ซึ่งส่งผลต่อการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ทั้งระบบรวมถึงลีสซิ่งกสิกรไทยด้วย
ทั้งนี้ ในปี 2554 ที่ผ่านมา บริษัทมียอดปล่อยสินเชื่อรวมที่ 53,355 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2553 ถึง 28 % จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 43,000 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นยอดสินเชื่อเช่าซื้อและลีสซิ่ง (Hire Purchase) จำนวน 31,927 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15 %ส่วนยอดสินเชื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ (Floorplan) ของลีสซิ่งกสิกรไทย ในปี 2554 อยู่ที่ 21,429 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 52 % สำหรับยอดสินเชื่อคงค้างในระบบ (Outstanding Loan) ณ ปัจจุบัน มีมูลค่ากว่า 63,832 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 18 % แต่ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 64,000 ล้านบาท โดยเป็นสินเชื่อที่ไม่เกิดให้ก่อรายได้ (NPL) อยู่ที่เพียง 1.04 % ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำมาก ส่วนผลกำไรสุทธิมี 471 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 19% เมื่อเปรียบเทียบผลกำไรในปี 2553 สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 468 ล้านบาท
สำหรับแนวโน้มดอกเบี้ยในปีนี้ คงจะอยู่ในภาวะทรงตัวหรือปรับตัวลดลงเล็กน้อย แต่การปรับขึ้นคงยากเนื่องจากการแข่งขันสูง พร้อมกันนั้น ก็จะต้องมีการบริหารงานให้สมดุลระหว่างการรุกตลาดใหม่กับความเสี่ยงที่จะเพิ่มขึ้น เนื่องจากในปีนี้บริษัทจะเพิ่มการสินเชื่อในส่วนของรถอีโคคาร์และรถกระบะ ซึ่งอาจจะมีความเสี่ยงสูงกว่ารถใหม่
ด้านนายอัครนันท์ ฐิตสิริวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ในปี 2555 บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย ยังคงให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคง โดยได้ตั้งเป้าหมายปล่อยสินเชื่อใหม่รวม 59,908 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 38% ซึ่งจะทำให้บริษัทมียอดสินเชื่อรวมอยู่ที่ 82,213 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 28.79% พร้อมตั้งเป้าผลกำไรที่ 574 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.44% และเอ็นพีแอลลดเหลือ 0.92% พร้อมคาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์โดยรวมปี 2555 น่าจะทะลุถึง 1.1 ล้านคัน เนื่องจากปัจจัยบวกด้านมาตรการของภาครัฐ ซึ่งได้แก่ นโยบายคืนภาษีรถยนต์คันแรก ซึ่งได้ขยายสิทธิครอบคลุมถึงกลุ่มผู้ซื้อที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม และการผ่อนผันให้สามารถนำเข้ารถยนต์ใหม่ทั้งคัน โดยใช้ฐานภาษีเช่นเดียวกับการผลิตในประเทศ ประกอบกับการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆในตลาดยังคงมีอย่างต่อเนื่อง
นายอิสระ วงศ์รุ่ง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ผลประกอบการโดยรวมของบริษัทปี 2554 ที่ผ่านมาออกมาเป็นที่น่าพอใจ แม้ว่าในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีจะได้รับผลกระทบจากอุทกภัยร้ายแรง ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์จากที่คาดการณ์ไว้ในระดับ 9 แสน-1 ล้านคัน เหลือไม่ถึง 8 แสนคัน ซึ่งส่งผลต่อการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ทั้งระบบรวมถึงลีสซิ่งกสิกรไทยด้วย
ทั้งนี้ ในปี 2554 ที่ผ่านมา บริษัทมียอดปล่อยสินเชื่อรวมที่ 53,355 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2553 ถึง 28 % จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 43,000 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นยอดสินเชื่อเช่าซื้อและลีสซิ่ง (Hire Purchase) จำนวน 31,927 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15 %ส่วนยอดสินเชื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ (Floorplan) ของลีสซิ่งกสิกรไทย ในปี 2554 อยู่ที่ 21,429 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 52 % สำหรับยอดสินเชื่อคงค้างในระบบ (Outstanding Loan) ณ ปัจจุบัน มีมูลค่ากว่า 63,832 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 18 % แต่ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 64,000 ล้านบาท โดยเป็นสินเชื่อที่ไม่เกิดให้ก่อรายได้ (NPL) อยู่ที่เพียง 1.04 % ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำมาก ส่วนผลกำไรสุทธิมี 471 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 19% เมื่อเปรียบเทียบผลกำไรในปี 2553 สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 468 ล้านบาท
สำหรับแนวโน้มดอกเบี้ยในปีนี้ คงจะอยู่ในภาวะทรงตัวหรือปรับตัวลดลงเล็กน้อย แต่การปรับขึ้นคงยากเนื่องจากการแข่งขันสูง พร้อมกันนั้น ก็จะต้องมีการบริหารงานให้สมดุลระหว่างการรุกตลาดใหม่กับความเสี่ยงที่จะเพิ่มขึ้น เนื่องจากในปีนี้บริษัทจะเพิ่มการสินเชื่อในส่วนของรถอีโคคาร์และรถกระบะ ซึ่งอาจจะมีความเสี่ยงสูงกว่ารถใหม่
ด้านนายอัครนันท์ ฐิตสิริวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ในปี 2555 บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย ยังคงให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคง โดยได้ตั้งเป้าหมายปล่อยสินเชื่อใหม่รวม 59,908 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 38% ซึ่งจะทำให้บริษัทมียอดสินเชื่อรวมอยู่ที่ 82,213 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 28.79% พร้อมตั้งเป้าผลกำไรที่ 574 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.44% และเอ็นพีแอลลดเหลือ 0.92% พร้อมคาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์โดยรวมปี 2555 น่าจะทะลุถึง 1.1 ล้านคัน เนื่องจากปัจจัยบวกด้านมาตรการของภาครัฐ ซึ่งได้แก่ นโยบายคืนภาษีรถยนต์คันแรก ซึ่งได้ขยายสิทธิครอบคลุมถึงกลุ่มผู้ซื้อที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม และการผ่อนผันให้สามารถนำเข้ารถยนต์ใหม่ทั้งคัน โดยใช้ฐานภาษีเช่นเดียวกับการผลิตในประเทศ ประกอบกับการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆในตลาดยังคงมีอย่างต่อเนื่อง