xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นไทยวันนี้ “ขึ้นขาย ลงซื้อ” เน้นหุ้นที่คาดผลประกอบการดี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ให้กลยุทธ์การลงทุน “เก็งกำไรแบบ ขึ้นขาย ลงซื้อ” ในกรอบ เน้นหุ้นที่คาดจะมีผลประกอบการดี

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เทรดในกรอบ 1,190-1,205

ภายหลังการฟื้นตัวได้ค่อนข้างดีตลอด 3 วันทำการติดต่อกันเกือบ 35 จุด ด้วยแรงหนุนจากการกลับมาสะสมหุ้นอีกครั้งของนักลงทุนต่างชาติ ทำให้บรรยากาศลงทุนดูดีขึ้นบางส่วน อย่างไรก็ดี ทางฝ่ายยังให้น้ำหนักกับปัจจัยลบที่เป็นความเสี่ยงล้อมกรอบตลาดอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาวะวิกฤตหนี้ยุโรป, การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน รวมถึงการเมืองภายในที่อาจร้อนแรงขึ้นจากประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และพ.ร.บ.ปรองดอง ดังนั้น คาดว่าวันนี้ ตลาดหุ้นไทยจะเริ่มเทรดในกรอบจำกัดมากขึ้น ขณะที่ตัวแปรเรื่องการเก็งกำไรผลประกอบการจะเข้ามาทำให้เกิดความผันผวนในระหว่างทางมากขึ้น โดยมองกรอบการเคลื่อนไหวในวันนี้ระหว่าง 1,190-1,205 จุด

แนวต้าน : 1,205-1,214 แนวรับ : 1,190-1,184

Weekly Strategy: ผันผวนสูงแต่ยังอยู่ในกรอบจำกัด
บทสรุป (แนวโน้มตลาดระหว่างวันที่ 23-27 เม.ย.55): จับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ระหว่างวันที่ 24-25 เม.ย. เพื่อรอดูมุมมองของเฟดต่อภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ และวิกฤตหนี้ยุโรป ขณะที่ความกังวลของตลาดที่มีต่อประเด็นเศรษฐกิจสเปนยังเป็นปัจจัยในระยะกลางขึ้นไปของตลาด โดยในระยะสั้นอาจต้องจับตาดูผลการประมูลพันธบัตรของสเปนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปัจจัยภายในของไทยในเดือน เม.ย. น่าจะมีความร้อนแรงมากขึ้นจากประเด็น พ.ร.บ.ปรองดอง รวมถึงการแก้ไข้รัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะการผ่านที่ประชุมรัฐสภาในวาระ 3 ในช่วง 26-27 เม.ย.นี้ (รายละเอียดใน Monthly SET Strategy วันที่ 5 เม.ย.2555)

ดังนั้น ภาพรวมจึงมีความเสี่ยงทางลงล้อมกรอบอยู่ อย่างไรก็ดี หลังการเทรดเหนือ 1,200 จุดไปแล้ว ก็เริ่มมีการพักตัวในระยะสั้นสลับเข้ามาในช่วงสงกรานต์ พร้อมกับการขายสุทธิออกมาบางส่วนของนักลงทุนต่างชาติ จึงทำให้แรงกดดันจากการพุ่งขึ้นต่อเนื่องของตลาดบรรเทาลงบางส่วน และท้ายสัปดาห์ก่อน ต่างชาติยังพลิกกลับมาซื้อสุทธิต่ออีกด้วย ทำให้โอกาสจะดีดกลับไปทดสอบ 1,200 อีกครั้งก็พอมีอยู่ แต่โดยรวมไม่น่าไปได้ไกล คาด SETI ในสัปดาห์นี้จะมีความผันผวนในระดับสูง และเริ่มเห็นการเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 1/55 มากขึ้น ภายหลังกลุ่มธนาคารซึ่งประกาศงบฯ ออกมาเป็นกลุ่มแรกค่อนข้างน่าประทับใจ

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวในสัปดาห์นี้ มองแนวต้านที่ 1,205 และ แนวรับที่ 1,160 จุด

กลยุทธ์การลงทุนในระยะสั้น: แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่คาดจะมีผลประกอบการดี โดยมีหุ้นเด่นดังนี้ ERW, SAT และ TTW

วิเคราะห์รายวัน :
BAY : ซื้อเก็งกำไร กำไร 1Q55 สูงกว่าคาด 19.4%
กำไรสุทธิ 1Q55 อยู่ที่ 3.43 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 618.0% q-q, 22.2% y-y กำไรที่ออกมาสูงกว่าคาด 19.4% จากการบันทึกหนี้สูญรับคืนในระดับสูง อีกทั้งสำรองต่ำกว่าคาด ผลของการรวมพอร์ตของ HSBC ส่งผลให้สัดส่วนสินเชื่อ Retail ปรับขึ้นสู่ 47% จาก 45% เมื่อสิ้นปี 2554 ทางฝ่ายแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ราคาพื้นฐานอยู่ที่ 30.90 บาท/หุ้น

TCAP : ซื้อ กำไร 1Q55 อยู่ที่ 1.19 พันล้านบาท ใกล้เคียงคาด
กำไรสุทธิใน 1Q55 ใกล้เคียงคาดโดยอยู่ที่ 1.19 พันล้านบาท เทียบกับประมาณการ 1.21 พันล้านบาท หากเทียบ q-q, y-y กำไรจะเติบโต 27.2% และ 4.3% ตามลำดับ สินเชื่อเช่าซื้อขยายตัว 6.0% หาก Interest Spread ปรับลงสู่ 2.4% จากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ Cost/Income ยังสูง หากรายได้ไม่ใช่ดอกเบี้ยในส่วนของค่าธรรมเนียมและรายได้ประกันได้ประโยชน์จาก Business Synergy เพิ่มมากขึ้น และทางฝ่ายคงมุมมองเห็นความพร้อมในการรุกธุรกิจมากขึ้นในปีนี้ โดยคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐานปี 2555 อยู่ที่ 39.30 บาท/หุ้น

DRT : ซื้อเก็งกำไร คาดงบ 1Q55 เติบโต 48% y-y
แผนขยายการผลิตเดินหน้าตามแผน การผลิต/การขายฟื้นตัวผลักดันกำไร 1Q55 เติบโตสูง มุ่งสู่การเติบโตต่อเนื่องไปถึงปีหน้า ปัจจัยบวกทั้งระยะสั้นและยาว ปรับเป็น “ซื้อเก็งกำไร”

KGI : ถือ คาดกำไรสุทธิในไตรมาส 1Q55 เพิ่มขึ้น 19%q-q
มูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์ของ KGI ใน 1Q55 ปรับเพิ่มขึ้น 36%q-q โดยเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 1,064.19 ล้านบาท จากปริมาณซื้อขายจากลูกค้า และดัชนี SETI ที่ปรับสูงขึ้น คาดกำไรในไตรมาส 1Q55 เพิ่มขึ้น 19%q-q มาที่ 137.91 ล้านบาท ราคาพื้นฐาน 1.98 บาท คงคำแนะนำ “ถือ”

TTW : ซื้อเก็งกำไร คาด 1Q55 กำไรสุทธิโต 12.31% y-y
ปริมาณการจ่ายน้ำที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ปริมาณการจ่ายน้ำรวมใน 1Q55 เพิ่มขึ้น 7.48% y-y ประกอบกับได้ปรับขึ้นค่าน้ำประปาในส่วนของ TTW และ PTW จึงคาดรายได้รวมเพิ่มขึ้น 8.65% y-y และคาดกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 12.31% y-y เป็น 574.43 ล้านบาท ซึ่งมีส่วนแบ่งกำไร CKP ที่คาดไว้ราว 10 ล้านบาท แนวโน้มความต้องการใช้น้ำประปายังมีสูงขึ้น จากสภาพอากาศที่ร้อน และจะยังคงส่งผลดีใน 2Q55 รวมไปถึง BLDC ที่ปริมาณจ่ายน้ำประปาฟื้นตัวดีขึ้น หลังโรงงานในนิคมฯบางปะอินกลับมาผลิต ยังคงคาดการณ์กำไรสุทธิปี 55 ที่ 2,199. 90 ล้านบาท ซึ่งครึ่งปีหลังภาษีจ่ายจะเพิ่มขึ้น จากการหมดสิทธิประโยชน์ BoI กลางปี 55 ในส่วนการผลิต 3 แสน ลบ.ม. แรกของ TTW ราคาพื้นฐาน 6.80 บาท แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร”

Market News
CPF : คาดงบ 1Q55 จะทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ (ที่มา : ประชุมนักวิเคราะห์)
คาดกำไรสุทธิ 1Q55 จะอยู่ที่ 8,279 ล้านบาทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย y-y และ q-q ซึ่งคาดว่าจะทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ หากพิจารณาผลการดำเนินงานในเฉพาะจากการดำเนินงานคาดว่าจะอ่อนลงทั้ง y-y และ q-q แม้ว่าจะรวมผลการดำเนินงานจาก CPP เข้ามาก็ตาม แต่จากราคาเนื้อสัตว์ทั้งไก่ และหมูที่ราคาขายต่ำกว่าจุดคุ้มทุนทำให้เกิดภาวะขาดทุนจากส่วนงานดังกล่าว การดำเนินงานในต่างประเทศจะอ่อนลงจากช่วง low season คาดว่าตุรกียังขาดทุนอยู่ แต่แนวโน้มดีขึ้น รับรู้กำไรพิเศษจากการปรับมูลค่าเงินลงทุนใน CP เวียดนาม, การขายเงินลงทุนในบ.ประกันภัย และประกันชีวิต รวมถึง CPALL คาดว่าจะมีมูลค่าทั้งสิ้นราว 6,875 ล้านบาท ราคาเนื้อสัตว์ในประเทศเริ่มฟื้นตัวหลัง supply ที่มากในช่วงผ่านมา คาดแนวโมช่วงที่เหลือของปีผลการดำเนินงานจะดีขึ้น แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ปรับราคาเหมาะสมเป็น 40.75 บาทอิงบน P/E 14 เท่า

BBL : กำไร 1Q55 สูงกว่าคาด 4.9% (ที่มา: SET)
กำไรสุทธิ 1Q55 อยู่ที่ 8.08 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.7% q-q, 25.0% y-y โดยสูงกว่าที่ทางฝ่ายประเมินไว้ที่ 7.71 พันล้านบาท อยู่ราว 4.9% จากรายได้ค่าธรรมเนียมที่สูงกว่าคาดขณะมีรายจ่ายอื่นๆ ปรับลงแรงกว่าคาด สินเชื่อสุทธิโต 2.7% ytd หาก NIM อ่อนตัวลง 21 bps q-q มาที่ 2.6% จากการบันทึกค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายเพิ่มแก่ DPA รวมถึงการเร่งระดมงินฝาก อีกทั้งด้านรายได้ดอกเบี้ยยังมีผลกระทบจากผลของน้ำท่วม อย่างไรก็ตาม รายได้ค่าธรรมเนียมขยายตัวได้สูง 15.8% q-q และมีค่าจ่ายดำเนินงาน, สำรอง และภาษีจ่ายลดลง จึงทำให้ bottomline โตได้ดี ทั้งนี้ Cost/Income เฉลี่ยอยู่ที่ 40.8% เทียบ 50.3% q-q, 41.6% y-y คุณภาพสินทรัพย์ไม่น่ากังวล โดย NPL ขยับขึ้นเพียง 0.8% q-q โดยเทียบเท่า 2.6% ของสินเชื่อรวม ลดลงจาก 2.7% q-q, 2.8% y-y ทางฝ่ายคงคำแนะนำ “ทยอยซื้อ” โดยราคาพื้นฐานอยู่ที่ 201 บาท/หุ้น

MINT : คาดกำไรสุทธิ 1Q55 พลิกฟื้นกลับมาเป็น New High (ที่มา: Company Visit)
คาดกำไรสุทธิ 1Q55 เท่ากับ 1,055 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.32 บาท เพิ่มขึ้น 28.3% y-y, 123.6% q-q เป็นระดับสูงสุดใหม่ โดยกำไรพลิกฟื้นจากไตรมาสที่ผ่านมาที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ปัจจัยหนุนที่ทำให้กำไรออกมาดีมากเนื่องจาก 1) ธุรกิจโรงแรมฟื้นตัวแข็งแกร่ง มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยของกลุ่มปรับเพิ่มขึ้น 14% y-y, 5% q-q และ RevPar เพิ่มขึ้น 9.1% y-y, 18.2% q-q เป็น 4,417 บาท โดยโรงแรมเปิดใหม่ 2 แห่ง เมื่อปีที่แล้วปรับตัวดีขึ้นมาก โดยคีฮาว่า ที่มัลดีฟส์ มีอัตราการเข้าพักสูงถึง 80% และโรงแรมเซนส์รีจีส กรุงเทพฯ มีอัตราการเข้าพักอยู่ที่ 60% อีกทั้งยังมีรับรู้รายได้จาก OAK เพิ่มเข้ามา 2) ธุรกิจอาหารมีอัตราการเติบโตที่ดีโดยมี SSSG ที่ 7.6% และ TSSG ที่ 16.2% 3) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มียอดขายเพิ่มขึ้น 13.8% q-q เป็น 900 ล้านบาท เนื่องจากขายวิลลา โครงการ ดิ เอสเตท สมุย 1 หลัง และโครงการ Anantara Vacation Club มียอดขายเพิ่มขึ้น คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐานปี 2555 ที่ 16.10 บาท

TOP : คาดกำไรสุทธิ 1Q55 ดีขึ้น q-q จากกำไรสต๊อกน้ามัน และอะโรเมติกส์ฟื้นตัว (ที่มา: Company Visit)
คาดกำไรสุทธิ 1Q55 เท่ากับ 5,569 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 2.73 บาท ลดลง 23% y-y แต่เทียบ q-q เพิ่มขึ้น 116.7%โดยกำไรที่ลดลง y-y เนื่องจากค่าการกลั่นไม่รวมสต๊อก (Market GRM) คาดลดลงจาก 6.1 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เป็น 3.6 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นมีส่วนต่างผลิตภัณฑ์ (500SN-HSFO) ปรับลดลง 20.5% เป็น 500 เหรียญสหรัฐต่อตัน แต่อย่างไรก็ตาม เทียบ q-q เพิ่มขึ้นมากมีปัจจัยหนุนจาก 1)กำไรจากสต๊อกน้ำมันที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 5.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากไตรมาสที่แล้วอยู่ที่ 0.6 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล 2) ธุรกิจอะโรเมติกส์ ปรับตัวดีขึ้น โดยมีส่วนต่างผลิตภัณฑ์ (PX-ULG95) เพิ่มขึ้น 3.4% เป็น 482 เหรียญสหรัฐต่อตัน และ 3) อัตราภาษีจ่ายลดลง และได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการลงทุนโครงการที่ลดมลพิษ

แนวโน้มราคาน้ำมันคาดมีทิศทางทรงตัวถึงอ่อนตัวลง เนื่องจากหมดความกังวลเรื่องอุปทานจะไม่พอหลังจากซาอุฯ ประกาศมีอุปทานทดแทนได้พอ ใน 2Q55 แนวโน้มค่าการกลั่น ส่วนต่างผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ คาดจะปรับขึ้นในช่วงแคบๆ คงคำแนะนำ “ทยอยซื้อ” ราคาพื้นฐานปี 2555 เท่ากับ 76.50 บาท

MEDIA : งบโฆษณาเดือน มี.ค. ยังคงเติบโต 3.49% y-y (ที่มา: นีลเส็น)
นีลเส็นแจ้งตัวเลขงบโฆษณารวมเดือน มี.ค. เพิ่มขึ้น 3.49% y-y และหากเทียบ m-m โตที่ 17.76% ซึ่งเป็นผลจากฤดูกาล การเพิ่มขึ้นในเดือน มี.ค. เป็นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 การฟื้นตัวในเดือน มี.ค. นำโดยสื่อในโรงภาพยนตร์ และในศูนย์การค้าที่โต 45.91% และ 60.19% y-y โดยสื่อโทรทัศน์จะมีส่วนแบ่งตลาดสูงสุดที่ 60.88% ลดลงจากปีก่อนเล็กน้อย แต่ยังโตได้ 2.71% มี.ค. BEC ฟื้นตัวดีสุดในกลุ่มสถานีโทรทัศน์โต 6.45% y-y ในขณะที่ MCOT ลดลงเล็กน้อย 1.23% y-y อย่างไรก็ตาม ในเชิงพื้นฐานยังมอง MCOT ถูกกว่า BEC ค่อนข้างมาก แนะนำ “ลงทุนปกติ” ในกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ Top Pick แนะนำ MCOT และ AS ราคาพื้นฐาน 35.25 บาท และ 19.70 บาทตามลำดับ


กำลังโหลดความคิดเห็น