“กรณ์” อัด “ดีเอสไอ-ก.ล.ต.” แก้ต่างให้ผู้ต้องหา ถือเป็นความอัปยศ

“กรณ์” วิจารณ์การทำหน้าที่ดีเอสไอ และ ก.ล.ต.กรณีหุ้น “ชินคอร์ป” ชี้ดีเอสไอไม่มีหน้าที่ต้องมาแก้ต่างให้ผู้ถูกกล่าวหา จนกลายเป็นความอัปยศ ถาม “ธาริต” มีความจำเป็นใดถึงยอมเสียหลักการ ยืนยันเรื่องไม่จบแค่นี้

หลังมีข่าวกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สั่งให้ยุติการสอบสวนคดีพิเศษที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี, นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์, นายพานทองแท้ ชินวัตร, น.ส.พินทองทา ชินวัตร ปกปิดโครงสร้างหุ้นใน บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น (INTUCH) หรือ SHIN เดิม หลังจากไม่พบว่ามีการร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งใช้เป็นพยานหลักฐานตามที่นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ทำหนังสือให้เร่งรัดให้ดีเอสไอตรวจสอบและดำเนินคดีนี้

ล่าสุด นายกรณ์ได้โพสต์ข้อมูลลงใน face book ของตนว่า “ก็เพราะอย่างนี้บ้านเมืองถึงวุ่นวาย”

โดยมีข้อความระบุว่า …....เมื่อวานนี้อธิบดี DSI ได้ออกมาแถลงว่าจะไม่มีการเอาผิดคุณยิ่งลักษณ์และพวกทั้งๆ ที่ ก.ล.ต.ได้ชี้มูลแล้วว่ามีการละเมิดกฎหมายหลักทรัพย์ด้วยการแจ้งข้อมูลเท็จต่อสาธารณชน และทำหลายครั้งด้วย

“เรื่องไม่ซับซ้อนครับ คือทุกครั้งที่จะมีการขายหุ้น บริษัทจะต้องเสนอข้อมูลเพื่อให้ประชาชนได้พิจารณาก่อนิตัดสินใจ ในกรณีของ Shincorp คุณยิ่งลักษณ์ คุณพานทองแท้และคุณบรรณพจน์ได้แจ้งต่อประชาชนผ่าน ก.ล.ต.ไว้หลายครั้งว่าเป็นผู้ถือหุ้น แต่เราก็ได้รับการยืนยันว่าเป็นเรื่องโกหกเมื่อศาลฎีกาได้พิพากษาในปี 2553 ว่าทั้งหมดจริงแล้วเป็นของคุณทักษิณ ดังนั้นตั้งแต่ตอนเป็นรัฐมนตรีผมจึงได้ขอให้ ก.ล.ต.ทำหน้าที่ในการตรวจสอบว่าการกระทำนี้ผิดกฎหมายอย่างไรหรือไม่ ก.ล.ต.ก็ตอบมาว่าผิด แต่ในสมัยคุณธีระชัยก็ยังไม่มีการดำเนินการตามควร ผมก็ตามเรื่องนี้ต่อไป จนล่าสุด ก.ล.ต.ได้ส่งเรื่องให้ DSI ดำเนินการ จนมาถึงเมื่อวานนี้

ประเด็นคือ DSI ไม่มีหน้าที่ในการมาแก้ต่างให้ผู้ถูกกล่าวหาอย่างนี้ ผมขอชี้ถึงความอัปยศเป็นข้อๆ ดังนี้นะครับ

1) ก.ล.ต.เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่รักษากฎหมายหลักทรัพย์และชี้แล้วว่าสิ่งที่ผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำ ขัดกับบทบัญญัติของกฎหมาย ดังนั้น DSI มาทำตัวรู้ดีกว่าทำไม

2) สิ่งที่ DSI ชี้แจงฟังไม่ขึ้นและอัปยศสิ้นดี DSI ชี้แจงว่าการทำเอกสารรายงานผู้ถือหุ้นเป็นหน้าที่ของบริษัท ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้ไปรับรู้ด้วย เมื่อผิดจึงไปกล่าวโทษเขาไมได้ ซึ่งข้อแก้ตัวนี้อาจจะฟังขึ้นถ้าผู้ถูกกล่าวหาได้ออกมาปฏิเสธความเป็นผู้ถือหุ้นเมื่อมีโอกาส แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้ามเพราะทั้งคุณยิ่งลักษณ์ คุณพานทองแท้และคุณบรรณพจน์ได้ยืนยันกับศาลฎีกาว่าเป็นผู้ถือหุ้นจริง ดังนั้น DSI จะมาอ้างได้อย่างไรว่าทั้งสามคนไม่รับรู้ว่ามีการแจ้งข้อมูลเท็จกับ ก.ล.ต.

และอย่างน้อยเมื่อ DSI เองก็ยอมรับว่าคนที่รับรู้แน่นอนคือคุณบรรณพจน์เพราะเป็นคนลงนามกำกับความถูกต้องของข้อมูลให้กับ ก.ล.ต. แล้วทำไมไม่ดำเนินคดีกับคุณบรรณพจน์ครับ นี่คือสิ่งที่คุณบรรณพจน์ลงนามบืนยันไว้ครับ:

“ข้าพเจ้าได้ตรวจสอบข้อมูลในแบบแสดงรายการข้อมูลฉบับนี้แล้ว ขอรับรองว่าข้อมูลดังกล่าวมีความถูกต้องครบถ้วน ไม่เป็นเท็จ ไม่ทำให้ผู้อื่นสำคัญผิดหรือขาดข้อมูลที่ควรต้องแจ้งในสาระสำคัญอันอาจทำให้บุคคลผู้เข้าซื้อหลักทรัพย์เสียหาย และข้าพเจ้าทราบว่าหากข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นไปตามที่ข้าพเจ้าให้คำรับรองไว้ ผู้จองซื้อหลักทรัพย์อาจฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย จากข้าพเจ้าได้ตามมาตรา 82 หรือมาตรา 83 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และข้าพเจ้าอาจได้รับโทษตามมาตรา 278 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกันด้วย”

ไม่มีชัดกว่านี้แล้วครับ

3) นอกจากนั้น และน่าเกลียดที่สุดก็คือ ที่ DSI อ้างว่าการกระทำผิดนี้ไม่มีผลต่อการสินใจของประชาชนผู้ใช้ข้อมูล เพราะกว่าจะรู้ว่าข้อมูลเป็นเท็จก็ได้ซื้อ-ขายหุ้นหมดแล้ว พระเจ้าช่วย! ก็เขาซื้อ-ขายไปด้วยข้อมูลเท็จไงครับ ความได้เปรียบเสียเปรียบมันเกิดขึ้นแล้ว ผมขอบอก DSI ว่า ถ้าไม่มีการซุกหุ้น ก็จะปรากฏว่าผู้ที่เป็นเจ้าของที่แท้จริงคือคุณทักษิณ ชินวัตร ซึ่งหมายความว่าโครงสร้างผู้ถือหุ้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะคุณทักษิณไม่มีสิทธิถือหุ้นที่มีสัมปทานกับรัฐได้ แล้วถ้าความจริงปรากฏแต่แรกยังจะซื้อ-ขายหุ้นกันได้ไหมครับ

ก็เพราะหน่วยงานไม่รับผิดชอบต่อการทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตนี่แหละครับ ที่ทำให้บ้านเมืองไม่สงบ ก.ล.ต.เองก็ต้องออกมาร้องเรียนความเป็นธรรม เพราะถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้แล้วมีไว้ทำไมครับ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ และมีไว้ทำไม ก.ล.ต.

ผมกับอธิบดีธาริตเคยทำงานร่วมกันมาก่อน แต่วันนี้ผมไม่ทราบว่าคุณธาริตมีความจำเป็นส่วนตัวอย่างไรที่ทำให้ต้องเสียหลักการถึงขนาดนี้ ผมเสียใจครับ เสียใจจริงๆ และผมจะไม่ให้เรื่องจบแค่นี้แน่นอน”