ASTVผู้จัดการรายวัน - ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่นฯ เตรียมเสนอซื้อหุ้น “แพ็คฟู้ด” ทั้งหมดแบบสมัครใจ หลังเซ็นสัญญากับผู้ถือหุ้นใหญ่ซื้อหุ้นแพ็คฟู้ดไม่ต่ำกว่า 40% คาดว่าดีลแล้วเสร็จ เม.ย.55 ชี้การร่วมมือเป็นพันธมิตรครั้งนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจอาหารทะเลส่งออกระหว่างกัน “ธีรพงศ์” ชี้ปีนี้รายได้ทะลุ 3 พันล้านเหรียญ มั่นใจเป้าหมายรายได้ 4 พันล้านเหรียญเร็วกว่ากำหนดเดิม 2ปี
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TUF เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ลงนามสัญญาซื้อหุ้นกับผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท แพ็คฟู้ด จำกัด (มหาชน) (PPC) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลรายใหญ่ของไทย เมื่อวานนี้ (21 ธ.ค.) โดย TUF จะทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของ PPC โดยความสมัครใจ (Voluntary Tender Offer) จากผู้ถือหุ้น PPC ทุกราย และชำระเงินซื้อหุ้นเป็นเงินสดทั้งจำนวน โดยภายหลังการทำรายการนั้น TUF จะเข้าไปถือหุ้นใน PPC ไม่ต่ำกว่า 40% ของหุ้นที่จำหน่ายทั้งหมด โดยกลุ่มผู้ขายหุ้น PPC ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่มีสัดส่วนการถือหุ้นมากกว่า TUF
สำหรับราคาเสนอซื้อหุ้นPPC จะกำหนดจากมูลค่าทางบัญชีสุทธิต่อหุ้น (Book Value)ข องงบการเงินรวมของ PPC ประจำปี 2554 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2554 ที่ตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชีแล้ว คาดว่าจะทราบมูลค่าทางบัญชีสุทธิต่อหุ้นในวันที่ 29 ก.พ. 2555 และการซื้อหุ้นดังกล่าวจะแล้วเสร็จในเดือน เม.ย. 2555 สำหรับมูลค่าตามบัญชีของ PPC ในงวด 9เดือนแรกปีนี้อยู่ที่หุ้นละ 28.77 บาท
ทั้งนี้ การซื้อหุ้นดังกล่าวอยู่ภายใต้บังคับของเงื่อนไขบังคับก่อนตามที่ระบุในสัญญาที่เกี่ยวข้อง อาทิ ผลการตรวจสอบสถานะกิจการ (Due Diligence) เป็นที่พอใจของ TUF และได้รับมติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติให้ดำเนินการตามสัญญาซื้อขายหุ้นและดำเนินการใดที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
นายธีรพงศ์กล่าวต่อไปว่า การเข้าร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจระหว่าง TUF และPPC ในครั้งนี้จะช่วยเกื้อหนุนระหว่างกันในหลายด้าน ทั้งการจัดหา การบริหารจัดการวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ การบริหารกำลังการผลิตที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงการทำการตลาดทั้งในและต่างประเทศให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในทุกตลาดโดยอาศัยร่วมมือผสานความชำนาญและประสบการณ์ทางธุรกิจของทั้ง 2 บริษัท เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็งและอาหารสำเร็จรูป โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ ที่ความต้องการบริโภคอาหารสำเร็จรูปมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทั้งในสหรัฐและยุโรป
“การเข้าซื้อหุ้น PPC เป็นไปอย่างสมัครใจ ตกลงกันได้ด้วยดี แต่ราคาเสนอซื้อหุ้น ต้องรองบปี 2554 ออกก่อน เป็นดีลที่ใช้เงินไม่เยอะ แต่จะช่วยทำให้ตลาดกุ้งของเราโตขึ้น โดยดีลนี้จะไม่ทำให้รายได้ของTUFเปลี่ยนแปลง เพราะบันทึกรับรู้เป็นกำไร แต่จะให้ผลตอบแทนที่ดี คาดว่าจะคืนทุนได้ภายใน 5 ปี”
นายธีรพงศ์กล่าวว่า ปีนี้บริษัทฯคาดว่ามีรายได้ทะลุ 3,100 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตกว่า 40% ขณะที่กำไรสุทธิจะขยายตัวในอัตราเดียวกับรายได้ เนื่องจากรับรู้รายได้จากเข้าซื้อกิจการ MW Brand และยอดขายที่ปรับตัวสูงขึ้น ในปีหน้าบริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้และกำไรสุทธิเติบโต 20% โดยเป้าหมายบริษัทฯที่จะมีรายได้รวม 4 พันล้านเหรียญในปี 2558
เชื่อมั่นว่าจะทำได้เร็วกว่ากำหนดภายในปี 2556
“บริษัทฯ ยังคงมองหาโอกาสทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยปีหน้ามีงบลงทุนปกติ 3 พันล้านบาทในการปรับปรุงเครื่องจักรและโรงงาน ซึ่งไม่รวมการเข้าซื้อกิจการ”
นายวิวัฒน์ กนกวัฒนาวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพ็คฟู้ด จำกัด (มหาชน) (PPC)กล่าวว่า ทางกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของPPC จำนวน 9 ราย ในกลุ่มอารีเจริญเลิศ และกลุ่มกนกวัฒนา ได้เข้าทำสัญญาซื้อขายหุ้นกับ TUF ในจำนวนไม่เกิน 40% หรือคิดเป็นจำนวนหุ้นสามัญไม่เกิน 12 ล้านหุ้น ซึ่งภายหลังดีลการซื้อขายหุ้นให้ TUF แล้วเสร็จ ทางกลุ่มผู้ขายหุ้นยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่มีสัดส่วนการถือหุ้นใน PPC มากกว่า TUF และเป็นผู้บริหารหลักในบริษัทฯต่อไป รวมทั้ง ไม่มีนโยบายที่จะเพิกถอนหุ้น PPC ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯด้วย แม้ว่าปัจจุบันหุ้น PPCจะมีสภาพคล่องต่ำเพียงแค่ 3% แต่ภายหลังจากTUF เข้ามาถือหุ้นแล้ว ก็จะมีการพิจารณาแนวทางการเพิ่มสภาพคล่องหุ้น PPC ต่อไปเพื่อให้เป็นไปตามกฎระเบียบของตลาดหลักทรัพย์กำหนดไว้ไม่น้อยกว่า 15%
นายวิวัฒน์กล่าวต่อไปว่า ผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯ คาดว่ามีรายได้ต่ำกว่าปีก่อนที่มีรายได้รวม 8 พันล้านบาท แต่จะพลิกจากขาดทุน 118 ล้านบาทในปีก่อนมาเป็นกำไรสุทธิ เนื่องจากปีนี้บริษัทฯหันมาเน้นการขายสินค้าที่มีกำไรดีขึ้น และราคาวัตถุดิบปรับตัวลดลงจากปีก่อนที่มีราคาผันผวนสูงกว่าปกติ
ส่วนปี 2555 ภายหลังจากการเข้ามาถือหุ้นของ TUF เชื่อว่าบริษัทฯ จะมีรายได้เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเดินเครื่องจักรผลิตได้เต็มที่ และ TUF ยังช่วยส่งเสริมการขายสินค้าสำเร็จรูปพร้อมรับประทานของบริษัทฯให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ PPC ดำเนินธุรกิจส่งออกอาหารทะเลมาเป็นเวลากว่า 30ปี ที่ผ่านมาส่งออกกุ้งรายใหญ่อันดับ 2 ในตลาดสหรัฐ การเป็นพันธมิตรร่วมกับTUF จะทำให้ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับบริษัทฯเกี่ยวกับอาหารกุ้งและลูกกุ้ง รวมทั้งอาศัยฐานการตลาดในต่างประเทศของ TUF ทำให้โรงงานผลิตกุ้งแช่แข็งของบริษัทเดินเครื่องจักรได้เต็มที่จากปัจจุบันที่เดินเครื่องจักรเพียง 50-60% ของกำลังการผลิต 200 ตัน/วัน ขณะที่ TUF มีกำลังการผลิตกุ้งอยู่ 220 ตัน/วัน โดยเดินเครื่องจักรเต็มกำลังการผลิตทุกวัน เมื่อร่วมเป็นพันธมิตรจะทำให้มีกำลังการผลิตกุ้งรวม 400 ตัน/วัน
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TUF เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ลงนามสัญญาซื้อหุ้นกับผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท แพ็คฟู้ด จำกัด (มหาชน) (PPC) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลรายใหญ่ของไทย เมื่อวานนี้ (21 ธ.ค.) โดย TUF จะทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของ PPC โดยความสมัครใจ (Voluntary Tender Offer) จากผู้ถือหุ้น PPC ทุกราย และชำระเงินซื้อหุ้นเป็นเงินสดทั้งจำนวน โดยภายหลังการทำรายการนั้น TUF จะเข้าไปถือหุ้นใน PPC ไม่ต่ำกว่า 40% ของหุ้นที่จำหน่ายทั้งหมด โดยกลุ่มผู้ขายหุ้น PPC ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่มีสัดส่วนการถือหุ้นมากกว่า TUF
สำหรับราคาเสนอซื้อหุ้นPPC จะกำหนดจากมูลค่าทางบัญชีสุทธิต่อหุ้น (Book Value)ข องงบการเงินรวมของ PPC ประจำปี 2554 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2554 ที่ตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชีแล้ว คาดว่าจะทราบมูลค่าทางบัญชีสุทธิต่อหุ้นในวันที่ 29 ก.พ. 2555 และการซื้อหุ้นดังกล่าวจะแล้วเสร็จในเดือน เม.ย. 2555 สำหรับมูลค่าตามบัญชีของ PPC ในงวด 9เดือนแรกปีนี้อยู่ที่หุ้นละ 28.77 บาท
ทั้งนี้ การซื้อหุ้นดังกล่าวอยู่ภายใต้บังคับของเงื่อนไขบังคับก่อนตามที่ระบุในสัญญาที่เกี่ยวข้อง อาทิ ผลการตรวจสอบสถานะกิจการ (Due Diligence) เป็นที่พอใจของ TUF และได้รับมติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติให้ดำเนินการตามสัญญาซื้อขายหุ้นและดำเนินการใดที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
นายธีรพงศ์กล่าวต่อไปว่า การเข้าร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจระหว่าง TUF และPPC ในครั้งนี้จะช่วยเกื้อหนุนระหว่างกันในหลายด้าน ทั้งการจัดหา การบริหารจัดการวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ การบริหารกำลังการผลิตที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงการทำการตลาดทั้งในและต่างประเทศให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในทุกตลาดโดยอาศัยร่วมมือผสานความชำนาญและประสบการณ์ทางธุรกิจของทั้ง 2 บริษัท เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็งและอาหารสำเร็จรูป โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ ที่ความต้องการบริโภคอาหารสำเร็จรูปมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทั้งในสหรัฐและยุโรป
“การเข้าซื้อหุ้น PPC เป็นไปอย่างสมัครใจ ตกลงกันได้ด้วยดี แต่ราคาเสนอซื้อหุ้น ต้องรองบปี 2554 ออกก่อน เป็นดีลที่ใช้เงินไม่เยอะ แต่จะช่วยทำให้ตลาดกุ้งของเราโตขึ้น โดยดีลนี้จะไม่ทำให้รายได้ของTUFเปลี่ยนแปลง เพราะบันทึกรับรู้เป็นกำไร แต่จะให้ผลตอบแทนที่ดี คาดว่าจะคืนทุนได้ภายใน 5 ปี”
นายธีรพงศ์กล่าวว่า ปีนี้บริษัทฯคาดว่ามีรายได้ทะลุ 3,100 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตกว่า 40% ขณะที่กำไรสุทธิจะขยายตัวในอัตราเดียวกับรายได้ เนื่องจากรับรู้รายได้จากเข้าซื้อกิจการ MW Brand และยอดขายที่ปรับตัวสูงขึ้น ในปีหน้าบริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้และกำไรสุทธิเติบโต 20% โดยเป้าหมายบริษัทฯที่จะมีรายได้รวม 4 พันล้านเหรียญในปี 2558
เชื่อมั่นว่าจะทำได้เร็วกว่ากำหนดภายในปี 2556
“บริษัทฯ ยังคงมองหาโอกาสทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยปีหน้ามีงบลงทุนปกติ 3 พันล้านบาทในการปรับปรุงเครื่องจักรและโรงงาน ซึ่งไม่รวมการเข้าซื้อกิจการ”
นายวิวัฒน์ กนกวัฒนาวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพ็คฟู้ด จำกัด (มหาชน) (PPC)กล่าวว่า ทางกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของPPC จำนวน 9 ราย ในกลุ่มอารีเจริญเลิศ และกลุ่มกนกวัฒนา ได้เข้าทำสัญญาซื้อขายหุ้นกับ TUF ในจำนวนไม่เกิน 40% หรือคิดเป็นจำนวนหุ้นสามัญไม่เกิน 12 ล้านหุ้น ซึ่งภายหลังดีลการซื้อขายหุ้นให้ TUF แล้วเสร็จ ทางกลุ่มผู้ขายหุ้นยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่มีสัดส่วนการถือหุ้นใน PPC มากกว่า TUF และเป็นผู้บริหารหลักในบริษัทฯต่อไป รวมทั้ง ไม่มีนโยบายที่จะเพิกถอนหุ้น PPC ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯด้วย แม้ว่าปัจจุบันหุ้น PPCจะมีสภาพคล่องต่ำเพียงแค่ 3% แต่ภายหลังจากTUF เข้ามาถือหุ้นแล้ว ก็จะมีการพิจารณาแนวทางการเพิ่มสภาพคล่องหุ้น PPC ต่อไปเพื่อให้เป็นไปตามกฎระเบียบของตลาดหลักทรัพย์กำหนดไว้ไม่น้อยกว่า 15%
นายวิวัฒน์กล่าวต่อไปว่า ผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯ คาดว่ามีรายได้ต่ำกว่าปีก่อนที่มีรายได้รวม 8 พันล้านบาท แต่จะพลิกจากขาดทุน 118 ล้านบาทในปีก่อนมาเป็นกำไรสุทธิ เนื่องจากปีนี้บริษัทฯหันมาเน้นการขายสินค้าที่มีกำไรดีขึ้น และราคาวัตถุดิบปรับตัวลดลงจากปีก่อนที่มีราคาผันผวนสูงกว่าปกติ
ส่วนปี 2555 ภายหลังจากการเข้ามาถือหุ้นของ TUF เชื่อว่าบริษัทฯ จะมีรายได้เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเดินเครื่องจักรผลิตได้เต็มที่ และ TUF ยังช่วยส่งเสริมการขายสินค้าสำเร็จรูปพร้อมรับประทานของบริษัทฯให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ PPC ดำเนินธุรกิจส่งออกอาหารทะเลมาเป็นเวลากว่า 30ปี ที่ผ่านมาส่งออกกุ้งรายใหญ่อันดับ 2 ในตลาดสหรัฐ การเป็นพันธมิตรร่วมกับTUF จะทำให้ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับบริษัทฯเกี่ยวกับอาหารกุ้งและลูกกุ้ง รวมทั้งอาศัยฐานการตลาดในต่างประเทศของ TUF ทำให้โรงงานผลิตกุ้งแช่แข็งของบริษัทเดินเครื่องจักรได้เต็มที่จากปัจจุบันที่เดินเครื่องจักรเพียง 50-60% ของกำลังการผลิต 200 ตัน/วัน ขณะที่ TUF มีกำลังการผลิตกุ้งอยู่ 220 ตัน/วัน โดยเดินเครื่องจักรเต็มกำลังการผลิตทุกวัน เมื่อร่วมเป็นพันธมิตรจะทำให้มีกำลังการผลิตกุ้งรวม 400 ตัน/วัน