“ขุนคลัง” ยัน เงินกองทุนน้ำมัน ยังมีเหลือพอชดเชยราคาน้ำมันดีเซลได้จนถึงสิ้นเดือน เม.ย.ตามนโยบายของรัฐบาล โดยหลังตรวจสอบพบเหลือเม็ดเงินมากกว่า 20,000 ล้านบาท ดังนั้น ไม่กระทบต่อสถานะกองทุน ไม่จำเป็นต้องลดภาษีสรรพสามิต เพราะเิงินที่มีอยู่สามารถพยุงราคาน้ำมันดีเซลให้ไม่เกินลิตรละ 30 บาท ได้ถึงเดือนกรกฎาคมด้วยซ้ำไป
วันนี้ (7 มี.ค.) นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า จากกรณีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน ออกมาเปิดเผยว่า จะมีการทบทวนสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่พบว่า ปัจจุบันมีเงินสดอยู่ 35,000 ล้านบาท มีภาระผูกพันอยู่ประมาณ 14,000 ล้านบาท จึงยังเหลือเม็ดเงินอีกมากกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงพลังงาน ยืนยันว่า สามารถดูแลชดเชยราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้สูงกว่า 30 บาทต่อลิตร ได้ตามนโยบายนายกรัฐมนตรี ที่ประกาศไว้ถึงสิ้นเดือนเมษายนนี้ โดยไม่มีปัญหาต่อสถานะของกองทุน เพราะจากเม็ดเงินที่มีสามารถชดเชยราคาได้จนถึงเดือนกรกฎาคม
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า ราคาน้ำมันขณะนี้ มีความผันผวน จากสถานการณ์ความไม่สงบในหลายประเทศโดยเฉพาะประเทศลิเบีย ซึ่งส่งผลต่อราคาน้ำมันในตลาดโลก ดังนั้น หากราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นกว่าปัจจุบันมาก ก็อาจต้องกลับมาทบทวนผลกระทบที่อาจมีต่อกองทุนน้ำมันฯ อีกครั้ง ส่วนแนวทางการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การปรับลดภาษีสรรพสามิตทุกบาทจะมีผลให้ราคาน้ำมันปรับลด 1 บาทต่อลิตร แต่ก็จะมีผลกระทบต่อรายได้ของประเทศที่จะต้องสูญเสียไปประมาณ 19,000 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ หากพิจารณาเปรียบเทียบอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันกับประเทศอื่น และในอดีตก็ถือว่าไม่สูง โดยในอดีตอยู่ที่เกือบร้อยละ 30 ของราคาน้ำมัน ในขณะที่ปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 18 อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลัง พร้อมพิจารณาตามความเหมาะสม เพื่อลดภาระให้กับประชาชน แต่ปัจจุบันยังไม่จำเป็น เพราะกองทุนน้ำมันยังสามารถดูแลได้
ส่วนหลังจากเดือนเมษายน จะมีแนวโน้มปล่อยให้ราคาน้ำมันเป็นไปตามกลไกตลาดหรือไม่นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า อยากให้ทุกอย่างกลับเข้าสู่กลไกตามปกติ แต่ในฐานะประเทศที่นำเข้าน้ำมัน เมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้น ก็เป็นภาระต่อทุกฝ่ายที่ต้องแบกรับ โดยในส่วนของน้ำมันดีเซลปัจจุบัน รัฐบาลควรรับภาระจากประชาชนส่วนหนึ่ง เพราะสามารถทำได้ผ่านกองทุนน้ำมันฯ ที่สะสมเงินไว้ ประกอบกับประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากราคาสินค้าแพงอยู่แล้ว