นายกฯ ตรึงราคาดีเซลจนถึงสิ้นเดือน เม.ย.หลังวิกฤตน้ำมันผันผวน โวยังมีเงินในกองทุนน้ำมัน 8 พันล้าน บริหารจัดการได้ ห่วงหากขยับเพดานกระทบสินค้า-ขนส่ง ขอขึ้นราคา เชื่อราคาน้ำมันพุ่ง 130 เหรียญสหรัฐฯ เหมือนวิกฤตปี 51 มองขึ้นเร็วลงเร็ว
วันนี้ (3 มี.ค.) ที่ไบเทค บางนา เมื่อเวลา 09.00 น.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กระทรวงพลังงาน มีข้อเสนอให้ลดภาษีสรรพสามิต และเพิ่มเพดานในการตรึงราคาน้ำมันดีเซล ว่า คงจะเดินไปถึงสิ้นเดือน เม.ย.ได้ โดยเมื่อวันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้สอบถามกับกระทรวงพลังงาน คิดว่า ถึงสิ้นเดือน เม.ย.จะเหลือเงินในกองทุนน้ำมันประมาณ 8 พันล้าน
ผู้สื่อข่าวถามว่า การขยับเพดานจะมีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยังไม่มีการขยับเพดาน เพราะไม่เช่นนั้นสินค้าอื่นๆ หรือภาคขนส่งจะขอขึ้นราคาหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาเขาใช้เกณฑ์ตรงนี้ในการขึ้นราคา หรือค่าบริการต่างๆ ได้ เมื่อถามว่า มีการชั่งน้ำหนักในการขึ้นเพดาน และลดภาษีอันไหนดีกว่ากัน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คงต้องประเมินสุดท้ายที่ประชาชน ถ้ามีการขยับเพดานภาษีแล้วจะมีสินค้าอะไรขึ้นราคาบ้าง ต้องพิจารณาให้รอบคอบ จัดการภาษีที่ต้องดูแล ในชั้นนี้คิดว่า เราควรจะยึดแนวทางเดิมไปจนถึงสิ้นเดือน เม.ย.เพราะขณะนี้ราคาน้ำมันในตลาดโลกแกว่งตัวค่อนข้างมาก แต่ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ในตะวันออกกลาง และการเก็งกำไร หลังเดือน เม.ย.จะทำอย่างไร มีข้อเสนอเป็นทางเลือกอยู่ จะดำเนินการติดตามว่าจะทำอย่างไร
เมื่อถามว่า ตัวเลขราคาน้ำมันอาจจะสูงถึง 130 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อาการจะคล้ายกับต้นปี 51 แต่หลังจากนั้น ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นสูงจะลดลงค่อนข้างรวดเร็ว เพราะพื้นฐานความต้องการกับกำลังผลิตไม่น่าจะสูงขนาดนั้น แต่ที่สูงขนาดนั้นเกิดจากภาวะตระหนก และการเก็งกำไรบ้าง เพราะฉะนั้นจะเอาเป็นเกณฑ์เพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ ต้องดูความเป็นจริง
“เว้นแต่มีเหตุการณ์ปัญหาความรุนแรง กำลังการผลิตหายไปทันทีเท่าไหร่ ในโลกจะทำอย่างไร กระทรวงพลังงาน ต้องติดตาม เพราะผมคุยกับเขาทุกวันจันทร-อังคาร อยู่แล้ว เพราะอยู่ในกรอบของการปฏิรูป” นายอภิสิทธิ์ กล่าว