ผู้ว่า ธปท. ประเมิน ศก.ไทยปีนี้ยังเติบโตได้ดี แม้เงินไหลเข้าไม่สูงเท่าปีก่อน แต่อุปสงค์ภายในประเทศช่วยหนุน ศก. ชี้ ตลาดเงินระหว่างประเทศค่อนข้างอ่อนไหวต่อข่าว หลัง ศก.สหรัฐฯ และแถบยุโรปไม่ชัดเจน
วันนี้ (7 ม.ค.) นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้ยังเติบโตได้ดี แม้ว่าปริมาณเงินไหลเข้าจะไม่แรงเท่ากับปีก่อนที่เข้ามาสูงมาก รวมทั้งการส่งออกชะลอการเติบโตลงมาอยู่ที่ระดับประมาณกว่า 10% แต่อุปสงค์ภายในประเทศจะสามารถเติบโตขึ้นมาช่วยผลักดันเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้
"ช่วงนี้ตลาดการเงินระหว่างประเทศค่อนข้างอ่อนไหวต่อข่าว เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯ และแถบยุโรปยังไม่ชัดเจนในเรื่องการฟื้นตัว ซึ่งทำให้ความเคลื่อนไหวของเงินสกุลสำคัญของโลกจะผันผวนตามไปด้วย แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่ปัญหาของไทย ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดคือการติดตามเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด" นายประสาร กล่าว
นายประสาร กล่าวต่อว่า เท่าที่ประเมินยังเห็นว่าไม่น่าจะมีผลต่อพื้นฐานเศรษฐกิจไทย ซึ่งขณะนี้หน่วยงานสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจไทยมีความเข้าใจเศรษฐกิจมากขึ้น เพราะฉะนั้นมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะผ่านพ้นภาวะเงินทุนผันผวนไปได้ และจะมีการเติบโตอย่างสมดุลมากขึ้น
ส่วนข่าวที่ธนาคารกลางของจีนจะปล่อยให้ค่าเงินหยวนยืดหยุ่น 5% นั้น นายประสาร กล่าวว่า คงจะมีผลกระทบต่อค่าเงินบาทและค่าเงินในภูมิภาคบ้าง เพราะมีความสัมพันธ์กันค่อนข้างใกล้ชิด โดยเฉพาะไทยกับจีนมีการค้าขายกันมาก แต่ในปี 53 ค่าเงินหยวนเมื่อเทียบกับดอลลาร์แล้วแข็งค่าน้อยกว่าเงินบาทและริงกิตที่เทียบกับดอลลาร์ ซึ่งตามที่นักวิเคราะห์ตลาดการเงินมองว่าเงินบาทและริงกิตในปี 54 จะแข็งค่าน้อยกว่าปี 53 ซึ่งไม่น่าเป็นห่วงเพราะไทยมีการซื้อขายกับประเทศ G3 มากกว่า 70% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด หากค่าเงินยังเกาะกลุ่มภูมิภาคก็เชื่อว่าจะไม่กระทบกับการแข่งขัน แต่เชื่อว่าหากธนาคารกลางของจีนจะมีนโยบายอะไรก็คงต้องระมัดระวังระดับหนึ่งอยู่แล้ว
นายประสาร กล่าวอีกว่า สำหรับการหารือของหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ 4 หน่วยงานเมื่อวานนี้ มีความเห็นสอดคล้องกันว่าช่วงนี้เศรษฐกิจไทยมีความจำเป็นที่จะต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบสาธารณูปโภคเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และยังจำเป็นต้องจัดทำงบประมาณขาดดุลในปี 55
นอกจากนั้น ยังเห็นว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวในระดับที่น่าพอใจ น่าจะทำให้ช่องว่างของการผลิตค่อยๆ ปิดลง โดยเฉพาะในปี 54 ดังนั้น การขาดดุลในปีงบประมาณ 55 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 4 แสนล้านบาท น้อยกว่าในปีงบประมาณ 54 ที่อยู่ในระดับ 4.2 แสนล้านบาท เพราะมองว่าปี 55 เศรษฐกิจจะเติบโตได้ดี ดังนั้น ตัวเลขขาดดุลต่อจีดีพีก็น่าจะปรับลดลงด้วย และยังเป็นการส่งสัญญาณว่าไทยจะกลับเข้าสู่งบประมาณสมดุลหลังจากปี 55
นายประสาร ยังกล่าวว่า ในวันนี้ ธปท.ได้ทำข้อตกลงร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร(สศก.) ในการให้ใช้ข้อมูลเพื่อจัดทำดัชนีผลผลิตเกษตรและดัชนีราคาสินค้าเกษตร ซึ่งเดิม ธปท.เป็นผู้จัดทำเพื่อนำไปประเมินทิศทางอัตราเงินเฟ้อ แต่หลังจากนี้ สศก.จะรับไปทำ เพราะมองว่าตัวเลขภาคเกษตรมีความสำคัญในการประเมินเศรษฐกิจของประเทศ เพราะมีการจ้างงานสูงและทำรายได้ให้ประเทศมาก โดยรายได้จากภาคเกษตรคิดเป็น 11.5% ของจีดีพีในปี 52 และมีการจ้างงานถึง 14.7 ล้านคน คิดเป็น 34% ของการจ้างงานทั้งหมด