โบรกฯ มองตลาดหุ้นครึ่งปีแรก 53 ยังผันผวนสูง หากทิศทาง ดบ.เข้าสู่ช่วงขาขึ้น นักลงทุนกังวลแรงกดดันเงินเฟ้อ แนะให้นักลงทุนมองที่ตัวหุ้นมากกว่าภาพรวมของตลาด ชี้ เป็นปีทองของ dividend stock ที่แท้จริง กลุ่มบันเทิง เกษตร อาหาร และ บจ.ใน mai คาดทั้งปี ดัชนีอยู่ที่ 530-880 จุด
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สถาบันวิจัยนครหลวงไทย กล่าวถึงภาวะตลาดหุ้นไทยในปี 2553 โดยมองว่า ตลาดยังคงเป็นขาขึ้น แต่คงจะไม่ปรับตัวขึ้นไปมากนัก เนื่องจากยังมีความผันผวนจากปัจจัยที่กดดันต่อการการปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ ทั้งในเรื่องของความกังวลเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจจะทำให้ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2553 และไตรมาส 2 ปี 2553 มีความผันผวนสูง โดยหากอัตราดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้น 1% ดัชนีตลาดหุ้นก็มีโอกาสปรับลง 15%
นอกจากนี้ ยังรวมถึงปัจจัยเรื่องของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าในช่วงไตรมาส 1 ปี 2553 ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อาจจะอ่อนค่าลงอีกจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจ และหลังจากนั้น ไตรมาสที่เหลือก็มีโอกาสจะแข็งค่าต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม จากปัจจัยดังกล่าวที่ยังมีความเสี่ยงสูง ทำให้มอง SET Index ปีหน้ามีโอกาสปรับลงต่ำสุดที่ 530 จุด และมีโอกาสที่จะปรับไปสูงสุดที่ 880 จุด จากปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 750 จุด และปี 53 กำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จะสูงขึ้นเป็น 67 บาทต่อหุ้น จาก 55 บาทต่อหุ้น ในปี 2552
สำหรับการลงทุนในปี 2553 นายสุกิจ กล่าวว่า อยากให้นักลงทุนมองที่ตัวหุ้นมากกว่าภาพรวมของตลาด โดยจะได้เห็นผู้แพ้และผู้ชนะจากการบริหารตัวเองในปี 2552 ซึ่งผู้ชนะจะเป็นหุ้นบลูชิพที่มีการวางแผนเรื่องเงินทุนรองรับไว้แล้ว ขณะที่ผู้แพ้จะเป็นผู้ที่มีปัญหาสภาพคล่องและเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยาก
"ในปีหน้านักลงทุนควรมอง return ที่จับต้องได้ หุ้นที่มี dividend หรือพันธบัตรที่เห็นดอกเบี้ยชัดเจน ซึ่งในปีหน้าเป็นปีของ dividend stock ที่แท้จริง ได้แก่ กลุ่มบันเทิง เกษตร อาหาร และบริษัทจดทะเบียนใน mai"
ส่วนประเด็นการลงทุนในปีหน้ามี 2 ประเด็น คือ โครงการไทยเข้มแข็ง ที่ตอนนี้กระแสเริ่มเข้ามาแล้วและจะหมดในไตรมาส 1 ปี 2553 มีผลให้กลุ่มที่รับผลประโยชน์ในช่วงนี้ ได้แก่ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ค้าปลีก แต่หลังจากไตรมาส 1 ปี 2553 ไปแล้วจะมีเรื่องของอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นตามมา ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องไปยังอัตราดอกเบี้ยในระยะต่อไปด้วย โดยมองว่าการปรับขึ้นอัตราอัตราดอกเบี้ยจะเป็นลักษณะค่อยเป็นค่อยไป โดยหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเงินเฟ้อขาขึ้น ได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาล อาหาร โรงแรม ค้าปลีก และ พลังงาน
นายสุกิจ กล่าวว่า ในปีหน้าก็มีโอกาสที่จะเห็นเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติกลับเข้ามาลงทุน แต่ก็ขึ้นกับปัจจัยเรื่องการเมืองที่ต้องมีความชัดเจน เพื่อทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นในการกลับเข้ามาลงทุน โดยในปีนี้ ถือว่าต่างชาติถือว่าเข้ามาลงทุนน้อยมาก มีเม็ดเงินไหเข้าสุทธิเพียง 4-5 หมื่ล้านบาท โดยเชื่อว่า ต่างชาติปรับการลงทุนไปไต้หวัน และเกาหลีแทน
ทั้งนี้ ประเมินว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจรอบ 2 จะยากขึ้น เพราะสหรัฐฯ และยุโรป ยังมีความเสี่ยงจากหนี้ที่สูงมาก แต่การขับเคลื่อนในประเทศไทยเชื่อว่า ยังเดินหน้าต่อไปได้ โดยมีการอัดฉีดเม็ดเงินลงทุนจากภาครัฐ