xs
xsm
sm
md
lg

วรรณห่วงอีก 2 ปีเงินเฟ้อพุ่ง แนะกองทุนรวมตัวช่วยหนีความเสี่ยง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.วรรณ ห่วงเม็ดเงินทั้งระบบท่วม เหตุทั่วโลกอัดฉีดเม็ดเงินเข้ากระตุ้นเศรษฐกิจมากกินไป หวั่นดันตัวเลขเงินเฟ้อพุ่งอีก 2-3 ปีข้างหน้า สวนทางอัตราดอกเบี้ยที่ยังไม่กระเตื้อง แนะนักลงทุน หันลงทุนกองทุนรวม กระจายความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝาก

นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า ผลจากการอัดฉีดเม็ดของรัฐบาลทุกประเทศทั่วโลก ในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศตนเองนั้น จะส่งผลกระทบให้มีเม็ดเงินเข้าไปสู่ระบบมากเกินไปจนทำให้เม็ดเงินท่วมระบบหรือท่วมโลกได้ให้อีก 2-3 ปีข้างหน้านี้ ซึ่งจากการอัดฉีดเม็ดเงินในครั้งนี้ นักลงทุนจะต้องคำนึงถึงวิธีการที่รัฐบาลจะดึงเม็ดเงินออกเหล่านั้นออกมาจากระบบด้วย เพราะหากถึงเวลานั้นแล้ว ไม่มีมาตรการออกมารองรับ ก็อาจจะก่อให้เกิดปัญหาขึ้นได้อีกครั้ง

สำหรับประเทศไทย ซึ่งมีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบด้วยเช่นกัน จากงบประมาณของโครงการไทยเข้มแข็ง โดยคิดเป็นสัดส่วน 16% ของจีดีพีของปีที่ผ่านมา ซึ่งเม็ดเงินเหล่านี้เป็นเงินที่ได้มาจากภาครัฐ ซึ่งมีสถาบันการเงินและธนาคารกลางของประเทศเข้ามาช่วยเหลือด้วย และถึงแม้ว่าในขณะนี้เม็ดเงินดังกล่าวจะยังไม่เห็นชัดเจนมากนัก เนื่องจากว่าทำให้อัตราเงินเฟ้อในอนาคตจะยังไม่ได้เกิดขึ้น แต่ก็คาดว่าจะส่งผลกระทบในอีก 2-3 ปีข้างหน้านี้

นายมนรัฐกล่าวว่า สำหรับนักลงทุนเอาเงินไปอยู่ในเงินฝากทั้งหมด อาจจะส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนในอนาคตได้ เนื่องจากว่าอีก 3-4 ปีข้างหน้า หากเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวประชาชนกล้าที่จะใช้เงินและกล้าที่จะลงทุนมากขึ้น โดยเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น สิ่งที่จะตามมาราคาน้ำมันจะปรับตัวตาม และจะส่งผลให้เงินเฟ้อสูงขึ้นด้วย แต่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากจะไม่สามารถขยับตามอัตราเงินเฟ้อได้ทัน จึงอยากแนะนำให้นักลงทุนมีการบริหารสัดส่วนของนักลงทุนเอง โดยการกระจายการลงทุนออกไปยังสินทรัพย์อื่นๆบ้าง เช่นลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ หรือกองทุนรวมที่มีการลงทุนให้นักลงทุนได้หลากหลายรูปแบบ อีกทั้งผลตอบแทนที่ได้สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากด้วย

สำหรับแนวโน้มดอกเบี้ยนั้น มองว่าเรื่องนี้ ภาครัฐบาลเองก็ไม่ได้ต้องการให้มีการปรับขึ้นแต่อย่างใด เนื่องจากภาครัฐต้องการที่จะคงอัตราดอกเบี้ยให้อยู่เท่าเดิมเพื่อลดภาระต่างๆ เนื่องจากว่าภาครัฐจำเป็นที่จะต้องออกพันธบัตร เพื่อระดมเงินเข้าระบบมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไทย สหรัฐอเมริกา และทุกชาติ ซึ่งหากรัฐบาลปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้น จะหมายถึงอัตราต้นทุนการเงินที่เพิ่มขึ้นด้วย แต่เมื่อเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวจะทำให้ภาครัฐจะต้องมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อลดปัญหาด้านเงินเฟ้อ แต่ทั้งนี้การปรับเพิ่มก็ไม่สามารถที่จะเท่ากับอัตราดอกเบี้ยเงินเฟ้อหรือสูงกว่าได้ ดังนั้น นักลงทุนควรที่จะบริหารเงินให้ดี โดยการเลือกลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสมและยอมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้ รวมไปถึงผลตอบแทนที่มากกว่าการฝากเงินด้วย

"การลงทุนในขณะนี้ นักลงทุนควรที่จะจัดสรรเงินลงทุนให้มีความเหมาะสม เนื่องจากการที่เศรษฐกิจเริ่มมีการฟื้นตัวนั้น จะส่งผลให้นักลงทุนกล้าที่จะลงทุนพร้อมทั้งกล้าที่จะจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้ เมื่อเงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ค่าครองชีพ ค่าใช้จ่ายยังคงเท่าเดิม รวมไปถึงอัตราดอกเบี้ย ในอนาคตอันใกล้นี้ ยังไม่สามารถที่จะชนะอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และสิ่งที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม คือในปีหน้านี้ สถาบันประกันเงินฝากกำลังจะเข้ามา โดยจะมีผลกระทบต่อนักลงทุนที่มีเงินฝากอยู่ในธนาคารทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ดังนั้น การลงทุนในกองทุนรวมนอกจากจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝากในเรื่องของความเสี่ยงของการลงทุนนักลงทุนยังสามารถที่จะจัดสรรความเสี่ยงเหล่านี้ได้" นายมนรัฐกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น