ขายแบงก์นครหลวงไทย (SCIB) คืบ 15 ธ.ค.นี้ เปิดเสนอราคาซื้อหุ้นรอบแรก "ชัยวัฒน์" ลั่นมีแน่ๆ 5 รายทั้งสถาบันการเงินไทยและเทศ แย่งซื้อ ส่วนแผนงานปีหน้า ตั้งเป้าสินเชื่อโต 6%
นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) (SCIB) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการขายหุ้นธนาคารของกองทุนฟื้นฟูเพื่อการพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ว่าจากการที่บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงินได้ส่งหนังสือ Teaser เชิญผู้ที่สนใจเข้ามายื่นเสนอราคารอบแรกนั้น เท่าที่ทราบขณะนี้ก็มีความชัดเจนแล้วว่าผู้สนใจเสนอราคาเข้ามามากกว่า 5 ราย โดยผู้ที่สนใจซื้อหุ้นของธนาคารจะเสนอราคารอบแรกในวันที่ 15 ธันวาคม 2552 นี้
"มีผู้สนใจซื้อหุ้นของธนาคารเข้ามาหลายรายมาก ผู้สนใจมีทั้งสถาบันการเงินทั้งในประเทศและต่างประเทศ" นายชัยวัฒน์กล่าว
สำหรับกรณีที่ธนาคารโนวาสโกเทียซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจของกลุ่มทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) (TCAP) แล้วก็เป็นผู้ถือหุ้นในธนาคารนครหลวงไทยประมาณ 14% และหากขั้นตอนการซื้อขายหุ้นของธนาคารเสร็จสิ้นปลายไตรมาส 2 ของปี 2553 ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุไว้ แล้วผลสรุปที่ออกมาจะเป็นเช่นไรนั้นตนสามารถให้มุมมองในหลักการเพียงแค่ว่าขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของธนาคารโนวาสโกเทียว่าจะขายหุ้นที่ถืออยู่ในจำนวนดังกล่าวหรือไม่อย่างไร หากกลุ่มทุนธนชาตไม่เป็นผู้ชนะการเสนอราคาซื้อหุ้น แต่ในกรณีที่เป็นผู้ชนะการซื้อหุ้นจากกองทุนฟื้นฟูฯ ที่ถืออยู่ 47.58% รวมกับจำนวนหุ้นเดิมที่ถืออยู่ ก็จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในธนาคารนครหลวงไทยทันที
นายชัยวัฒน์ ยังกล่าวถึงแผนการดำเนินงานของธนาคารในปี 2553 ว่า ขณะนี้ได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตสินเชื่อรวมไว้ที่ 6% หรือคิดเป็นเม็ดเงินที่ปล่อยใหม่จะอยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท โดยสอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อทั้งระบบธนาคารพาณิชย์ที่คาดว่าจะเติบโตประมาณ 5-6% ซึ่งอยู่บนพื้นฐานอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี) ที่คาดว่าจะขยายตัว 3.5% และเป้าหมายการเติบโตสินเชื่อรวมของธนาคารจะเป็นโครงสร้างเดียวกับของปี 2552 และอาจจะมีการทบทวนแผนการดำเนินงานอีกครั้งในไตรมาส 2 เนื่องจากธนาคารต้องรอดูความชัดเจนจากผู้ถือหุ้นรายใหม่ก่อนว่ามีแผนการดำเนินงานทางธุรกิจไปในทิศทางใด
อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นธนาคารใช้กลยุทธ์ดำเนินงานปีหน้าที่เน้นเติบโต 3 ด้านคือสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) สินเชื่อรายย่อยและรายได้ค่าจากธรรมเนียมการให้บริการ จากที่ในปัจจุบันธุรกิจของธนาคารที่ถือว่ามีการเติบโตที่โดดเด่นคือสินเชื่อรายย่อยที่ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาธนาคารตั้งเป้าหมายว่าสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยจะเพิ่มเป็น 25% ในปีหน้า แต่ปรากฏว่าขณะนี้สัดส่วนดังกล่าวอยู่ในระดับที่เกินเป้าหมายแล้ว โดยคาดการณ์ว่าสิ้นปีนี้สัดส่วนจะอยู่ที่ 28%
ด้านสินเชื่อรวมของธนาคารในปีนี้คคาดว่าจะสามารถทำได้เพียงทรงตัว เนื่องจากธนาคารไม่ได้รุกสินเชื่อรายใหญ่มากนัก ในขณะที่มีสินเชื่อรัฐวิสาหกิจที่ได้เบิกใช้วงเงินไปในช่วงที่ผ่านมาประมาณ 8,000-15,000 ล้านบาท ซึ่งครบกำหนดที่จะชำระหนี้คืน จึงทำให้ธนาคารไม่ได้เข้าไปดำเนินการต่อในเรื่องการปล่อยสินเชื่อ
นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) (SCIB) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการขายหุ้นธนาคารของกองทุนฟื้นฟูเพื่อการพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ว่าจากการที่บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงินได้ส่งหนังสือ Teaser เชิญผู้ที่สนใจเข้ามายื่นเสนอราคารอบแรกนั้น เท่าที่ทราบขณะนี้ก็มีความชัดเจนแล้วว่าผู้สนใจเสนอราคาเข้ามามากกว่า 5 ราย โดยผู้ที่สนใจซื้อหุ้นของธนาคารจะเสนอราคารอบแรกในวันที่ 15 ธันวาคม 2552 นี้
"มีผู้สนใจซื้อหุ้นของธนาคารเข้ามาหลายรายมาก ผู้สนใจมีทั้งสถาบันการเงินทั้งในประเทศและต่างประเทศ" นายชัยวัฒน์กล่าว
สำหรับกรณีที่ธนาคารโนวาสโกเทียซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจของกลุ่มทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) (TCAP) แล้วก็เป็นผู้ถือหุ้นในธนาคารนครหลวงไทยประมาณ 14% และหากขั้นตอนการซื้อขายหุ้นของธนาคารเสร็จสิ้นปลายไตรมาส 2 ของปี 2553 ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุไว้ แล้วผลสรุปที่ออกมาจะเป็นเช่นไรนั้นตนสามารถให้มุมมองในหลักการเพียงแค่ว่าขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของธนาคารโนวาสโกเทียว่าจะขายหุ้นที่ถืออยู่ในจำนวนดังกล่าวหรือไม่อย่างไร หากกลุ่มทุนธนชาตไม่เป็นผู้ชนะการเสนอราคาซื้อหุ้น แต่ในกรณีที่เป็นผู้ชนะการซื้อหุ้นจากกองทุนฟื้นฟูฯ ที่ถืออยู่ 47.58% รวมกับจำนวนหุ้นเดิมที่ถืออยู่ ก็จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในธนาคารนครหลวงไทยทันที
นายชัยวัฒน์ ยังกล่าวถึงแผนการดำเนินงานของธนาคารในปี 2553 ว่า ขณะนี้ได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตสินเชื่อรวมไว้ที่ 6% หรือคิดเป็นเม็ดเงินที่ปล่อยใหม่จะอยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท โดยสอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อทั้งระบบธนาคารพาณิชย์ที่คาดว่าจะเติบโตประมาณ 5-6% ซึ่งอยู่บนพื้นฐานอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี) ที่คาดว่าจะขยายตัว 3.5% และเป้าหมายการเติบโตสินเชื่อรวมของธนาคารจะเป็นโครงสร้างเดียวกับของปี 2552 และอาจจะมีการทบทวนแผนการดำเนินงานอีกครั้งในไตรมาส 2 เนื่องจากธนาคารต้องรอดูความชัดเจนจากผู้ถือหุ้นรายใหม่ก่อนว่ามีแผนการดำเนินงานทางธุรกิจไปในทิศทางใด
อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นธนาคารใช้กลยุทธ์ดำเนินงานปีหน้าที่เน้นเติบโต 3 ด้านคือสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) สินเชื่อรายย่อยและรายได้ค่าจากธรรมเนียมการให้บริการ จากที่ในปัจจุบันธุรกิจของธนาคารที่ถือว่ามีการเติบโตที่โดดเด่นคือสินเชื่อรายย่อยที่ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาธนาคารตั้งเป้าหมายว่าสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยจะเพิ่มเป็น 25% ในปีหน้า แต่ปรากฏว่าขณะนี้สัดส่วนดังกล่าวอยู่ในระดับที่เกินเป้าหมายแล้ว โดยคาดการณ์ว่าสิ้นปีนี้สัดส่วนจะอยู่ที่ 28%
ด้านสินเชื่อรวมของธนาคารในปีนี้คคาดว่าจะสามารถทำได้เพียงทรงตัว เนื่องจากธนาคารไม่ได้รุกสินเชื่อรายใหญ่มากนัก ในขณะที่มีสินเชื่อรัฐวิสาหกิจที่ได้เบิกใช้วงเงินไปในช่วงที่ผ่านมาประมาณ 8,000-15,000 ล้านบาท ซึ่งครบกำหนดที่จะชำระหนี้คืน จึงทำให้ธนาคารไม่ได้เข้าไปดำเนินการต่อในเรื่องการปล่อยสินเชื่อ