ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ธนาคารกรุงไทย สาขาภูเก็ต จัดงาน “KTB Fair 2009” นำเสนอผลิตภัณฑ์ของธนาคารและบริษัทในเครือ คาดงานนี้ระดมเงินฝากได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 4 จากอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 3 เดือน ที่สูงถึงร้อยละ 4 ขณะที่สินเชื่อรายย่อยในภาคใต้ตอนบนขยายตัวต่อเนื่องปีนี้เพิ่มกว่าปีที่แล้วถึง 5,000 ล้านบาท
นายรังสรรค์ บำบัดสรรพโรค ผู้อำนวยการอาวุโส รักษาการกลุ่มผู้บริหาร กลุ่มเครือข่ายภาคใต้ 1 ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวภายหลังเปิดงาน “KTB Fair 2009” ณ.ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาภูเก็ต ว่า การจัดงานครั้งนี้ทางธนาคารกรุงไทยพร้อมด้วยบริษัทในเครือของธนาคารกรุงไทยจัดขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศ 10 จุดด้วยกัน
โดยในภาคใต้จัดที่จังหวัดภูเก็ตและจังหวัดนครศรีธรรมราช ระหว่างวันที่ 16-25 ธันวาคม 2552 นี้ เพื่อที่จะเป็นการตอบแทนลูกค้าที่ไว้วางใจให้บริการของธนาคารกรุงไทยมาโดยตลอด รวมทั้งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายไทยเข้มแข็งของรัฐบาลอีกด้วย ด้วยการนำเสนอผลิตใหม่ของทางธนาคารกรุงไทยและบริษัทในเครือให้ลูกค้าได้รับทราบ
โดยในงานนี้จะมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เป็นจุดเด่น คือ เงินฝากระยะเวลา 3 เดือน ดอกเบี้ยสูงถึงร้อยละ 4 ในวงเงินตั้งแต่ 50,000-1,000,000 บาท เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับผู้ที่มีเงินออม เพราะดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นดอกเบี้ยที่สูงมาก บริการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำพิเศษ การลดราคาทรัพย์สินพร้อมขาย (NPA) สูงสุด 35% การออกบู๊ทนำเสนอขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของบริษัทในเครือ รวมไปถึงการออกบู๊ทของผู้ประกอบการในภูเก็ตที่เป็นลูกค้าของธนาคารอีกด้วย
นายรังสรรค์กล่าวอีกว่า การจัดงานในลักษณะแบบนี้ ทางธนาคารเคยจัดมาแล้ว โดยใช้ชื่องานว่า “เงินฝากสู้เงินเฟ้อ” ซึ่งสามารถระดมเงินฝากได้ 2-3 หมื่นล้านบาท และในการจัดงานครั้งนี้คาดว่าทั่วประเทศน่าที่จะระดมเงินฝากได้ไม่น้อยกว่า 4 หมื่นล้าน ส่วนจังหวัดภูเก็ตนั้นคาดว่าการจัดงานดังกล่าวน่าที่จะระดมเงินฝากได้ไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท ซึ่งคิดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ เพราะจากการสำรวจเบื้องต้นถึงปริมาณเงินฝากของธนาคารแห่งประเทศไทย ปรากฏว่าภูเก็ตมีเงินฝากทั้งระบบสูงถึง 75,000 ล้านบาท และนครศรีธรรมราชคาดว่าจะระดมเงินฝากได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาทเช่นกัน
สำหรับการปล่อยสินเชื่อรายย่อยของธนาคารกรุงไทยในพื้นที่ภาคใต้ที่รับผิดชอบนั้น จะเห็นว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา ความต้องการสินเชื่อของผู้ประกอบการและการขอสินเชื่อรายย่อยมีการเติบโตที่ดี อย่างกรณีของปี 2551 ความต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้นจากปี 2550 ประมาณ 3,000 ล้านบาท และในปี 2552 นี้ คาดว่าสินเชื่อจะเพิ่มสูงขึ้นไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท ตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤศจิกายนที่ผ่านมา สินเชื่อรายย่อยที่ปล่อยไปแล้วมีถึง 4,600 ล้านบาท
นายรังสรรค์ยังกล่าวถึงแนวโน้มความต้องการสินเชื่อรายย่อยทั้งที่เป็นสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อส่วนธุรกิจว่า แนวโน้มความต้องการสินเชื่อเพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอน จากสัญญาณเศรษฐกิจโลกที่เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ การลงทุนก็จะเกิดขึ้น เมื่อการลงทุนขยายตัวความต้องการสินเชื่อก็จะตามมา
