ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนมองข่าวลือ กระทบตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น มั่นใจนักลงทุนยังเชื่อมั่น เดินหน้าลงทุนในต่อ พร้อมเชียร์เก็บหุ้นปันผลมากกว่า 5% เป็นรายตัวเข้าพอร์ต ช่วยลดความผันผวนของตลาดได้ ฟันธงหุ้นภาคการเงิน ประกันภัย ตลาดหลักทรัพย์ ยังน่าลงทุน
นายณสุ จันทร์สม กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน อีเอฟจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงสถานการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยว่า ส่วนตัวไม่เชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะหนีไปจากตลาดหุ้นไทยเพียงเพราะเรื่องข่าวลือที่ผ่านมา เพราะนักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในไทยนั้นเข้าใจความเสี่ยงเฉพาะของประเทศไทยเป็นอย่างดี และได้มีการประเมินความเสี่ยงต่างๆไว้ก่อนที่จะเข้ามาลงทุนอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าข่าวลือดังกล่าวถือเป็นปัจจัยเสี่ยงเฉพาะประเทศไทยจริง ซึ่งบางครั้งก็อาจทำให้ต่างชาติตัดสินใจได้ง่ายขึ้นในการที่จะถือโอกาสขายทำกำไรออกมาบ้างเพราะต้นทุนค่อนข้างต่ำ การตัดสินใจขายในกรณีที่เกิดความไม่แน่ใจขึ้นมาจึงสามารถทำได้ง่าย แต่ไม่คิดว่านักลงทุนต่างชิตจะหนีไปจากตลาดหุ้นไทยแน่นอน เพราะในท้ายที่สุดเงินทั่วโลกยังต้องมองหาแหล่งลงทุนสุดท้าย ก็ต้องกลับมาว่าที่พื้นฐานของตลาดหุ้นไทยเองหากมีมูลค่าที่น่าสนใจมากน้อยเเค่ไหน นักลงทุนต่างชาติก็ต้องกลับเข้ามาลงทุน แต่การลงทุนในหุ้นจากนี้ไปนักลงทุนจะต้องทำการบ้านเพิ่มเพื่อเลือกหุ้นให้มากขึ้น เพราะหุ้นจะไม่ได้ขึ้นทั้งกระดานเหมือนช่วงที่ผ่านมา จึงทำให้การเลือกคัดเลือกหุ้นเป็นสิ่งที่สำคัญ
“นักลงทุนควรจะเลือกหุ้นที่มีอัตราเงินปันผลสูงมากกว่า 5% มีเบต้าต่ำ (ราคาเคลื่อนไหวขึ้นลงน้อยกว่าการขึ้นลงของดัชนี) มีพื้นฐานดีรองรับซึ่งในที่สุดราคาก็จะเติบโตไปได้ ไม่ควรเข้าไปเล่นหุ้นที่ขึ้นมาโดยไม่มีปัจจัยรองรับเพราะสุดท้ายการขึ้นของราคาจะไม่ยั่งยืน รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มพลังงานก็ยังมีความน่าสนใจหากมองในระยะกลางถึงยาวราคาน้ำมันยัเป็นแนวโน้มขาขึ้น” นายณสุกล่าว
นายณสุ กล่าวต่อถึงกองทุนเปิดเคแทม เวิล์ด ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ฟันด์ หรือ KT-FINANCE ของบลจ.กรุงไทย ซึ่งไปลงทุนในสกุลเงินยูโรว่า หากมองอัตราแลกเปลี่ยนระหว่ายูโรกับดอลลาร์สหรัฐฯนั้น ค่าเงินยูโรน่าจะได้ประโยชน์จากการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ในส่วนของนักลงทุนไทยเองถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะกระจายการลงทุนไปในสกุลเงินอื่นของโลกนอกเหนือจากเงินบาทเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงด้วย
โดยในส่วนของกองทุน KT-FINANCE เองถือเป็นกองทุนที่มีความน่าสนใจเพราะไปลงทุนในธุรกิจที่อยู่ในภาคการเงินทั่วโลกซึ่งต่างกันกับหุ้นสถาบันการเงินในประเทศไทยอบ่างชัดเจนเพราะธุรกิจภาคการเงินทั่วโลกไม่ได้มีแค่ธนาคารพาณิชย์เท่านั้น ธุรกิจรับประกันภัยต่อถือเป็นธุรกิจที่น่าสนใจมากแม้แต่วอร์เรน บัฟเฟตยังมองเป็นธุรกิจที่น่าสนใจลงทุน หรือหุ้นตลาดหลักทรัพย์ที่มีกำไรค่อนข้างดีไม่ว่าภาวะตลาดจะขึ้นหรือลง ธุรกิจบลจ.ที่มีรายได้ค่าธรรมเนียมบริหารจัดการเสมอไม่ว่าตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลง เป็นต้น
“กองทุน KT-FINANCE จึงถือเป็นธีมการลงทุนที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัวจากนี้ไป การเลือกหุ้นเพื่อลงทุนจะมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น ซึ่งธีมการลงทุนในธุรกิจการเงินของโลกถือเป็นธีมหนึ่งที่น่าสนใจเช่นเดียวกัน” นายณสุกล่าว
ด้านนายสุทยุต เชื้อพานิช ผู้จัดการกองทุนฝ่ายตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับหุ้นกลุ่มที่เชื่อว่าจะกลับมาเเข็งเเกร่งในอนาคตอันใกล้นี้คือ หุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน การให้บริการทางการเงิน เช่น ประกันภัย ธนาคาร ตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น ทั้งนี้ เรามองว่าหลังวิกฤติเรื่องสถาบันการเงินเริ่มผ่อนคลายลงนั้น ส่งผลให้ต้นทุนของสถาบันการเงินลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิของภาคธนาคารมีเเนวโน้มฟื้นตัว และอัตราผลตอบเเทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นก็มีเเนวโน้มปรับตัวดีขี้นเช่นกัน นอกจากนี้เรามองว่าอัตราส่วนราคาต่อสินทรัพย์หรือ Price to BooK ของหุ้นประเภทดังกล่าว ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปเเล้ว ซึ่งมีเเนวโน้มว่ากำลังจะปรับตัวสูงขึ้นในอนาคตอีกด้วย
ทั้งนี้ กองทุนเปิดเคแทม เวิล์ด ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ฟันด์ (KT-FINANCE) ที่กำลังเสนอขายพีโอระหว่างวันที่ 13-27 ต.ค. 2552 นี้ ถือเป็นกองทุนกลุ่มอุตสาหกรรม (Sector Fund) ที่เน้นลงทุนในหุ้นในธุรกิจการเงินทั่วโลกดดยปัจจุบันกองทุนหลักคือ กองทุน Global Financial Services Fund นั้นมีสัดส่วนการลงทุนในสหรัฐประมาณ 41.8% อังกฤษ 18.3% และที่เหลือกระจายไปในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก โดยกองทุน KT-FINANCE จะลงทุนในสกุลเงินยูโรและไม่ได้มีการป้องกันความเสี่ยงในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนแต่ประการใด เพราะสัดส่วนการลงทุนในสหรัฐที่มีมากนั้นเป็นเพียงตัวบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐเท่านั้น แต่ในแง่ของรายได้บริษัทเหล่านี้มาจากทั่วโลก ปัจจุบันกองทุนมีสัดส่วนการลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐประมาณ 40% ยูโร 10% และปอนด์สเตอร์ลิง 10% อีก 40% ที่เหลือเป็นสกุลเงินท้องถิ่นตามแต่ละประเทศที่เข้าไปลงทุนซึ่งค่าเงินจะเป็น Natural Hedge ไปซึ่งช่วยลดความผันผวนในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนไปได้
นายณสุ จันทร์สม กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน อีเอฟจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงสถานการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยว่า ส่วนตัวไม่เชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะหนีไปจากตลาดหุ้นไทยเพียงเพราะเรื่องข่าวลือที่ผ่านมา เพราะนักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในไทยนั้นเข้าใจความเสี่ยงเฉพาะของประเทศไทยเป็นอย่างดี และได้มีการประเมินความเสี่ยงต่างๆไว้ก่อนที่จะเข้ามาลงทุนอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าข่าวลือดังกล่าวถือเป็นปัจจัยเสี่ยงเฉพาะประเทศไทยจริง ซึ่งบางครั้งก็อาจทำให้ต่างชาติตัดสินใจได้ง่ายขึ้นในการที่จะถือโอกาสขายทำกำไรออกมาบ้างเพราะต้นทุนค่อนข้างต่ำ การตัดสินใจขายในกรณีที่เกิดความไม่แน่ใจขึ้นมาจึงสามารถทำได้ง่าย แต่ไม่คิดว่านักลงทุนต่างชิตจะหนีไปจากตลาดหุ้นไทยแน่นอน เพราะในท้ายที่สุดเงินทั่วโลกยังต้องมองหาแหล่งลงทุนสุดท้าย ก็ต้องกลับมาว่าที่พื้นฐานของตลาดหุ้นไทยเองหากมีมูลค่าที่น่าสนใจมากน้อยเเค่ไหน นักลงทุนต่างชาติก็ต้องกลับเข้ามาลงทุน แต่การลงทุนในหุ้นจากนี้ไปนักลงทุนจะต้องทำการบ้านเพิ่มเพื่อเลือกหุ้นให้มากขึ้น เพราะหุ้นจะไม่ได้ขึ้นทั้งกระดานเหมือนช่วงที่ผ่านมา จึงทำให้การเลือกคัดเลือกหุ้นเป็นสิ่งที่สำคัญ
“นักลงทุนควรจะเลือกหุ้นที่มีอัตราเงินปันผลสูงมากกว่า 5% มีเบต้าต่ำ (ราคาเคลื่อนไหวขึ้นลงน้อยกว่าการขึ้นลงของดัชนี) มีพื้นฐานดีรองรับซึ่งในที่สุดราคาก็จะเติบโตไปได้ ไม่ควรเข้าไปเล่นหุ้นที่ขึ้นมาโดยไม่มีปัจจัยรองรับเพราะสุดท้ายการขึ้นของราคาจะไม่ยั่งยืน รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มพลังงานก็ยังมีความน่าสนใจหากมองในระยะกลางถึงยาวราคาน้ำมันยัเป็นแนวโน้มขาขึ้น” นายณสุกล่าว
นายณสุ กล่าวต่อถึงกองทุนเปิดเคแทม เวิล์ด ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ฟันด์ หรือ KT-FINANCE ของบลจ.กรุงไทย ซึ่งไปลงทุนในสกุลเงินยูโรว่า หากมองอัตราแลกเปลี่ยนระหว่ายูโรกับดอลลาร์สหรัฐฯนั้น ค่าเงินยูโรน่าจะได้ประโยชน์จากการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ในส่วนของนักลงทุนไทยเองถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะกระจายการลงทุนไปในสกุลเงินอื่นของโลกนอกเหนือจากเงินบาทเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงด้วย
โดยในส่วนของกองทุน KT-FINANCE เองถือเป็นกองทุนที่มีความน่าสนใจเพราะไปลงทุนในธุรกิจที่อยู่ในภาคการเงินทั่วโลกซึ่งต่างกันกับหุ้นสถาบันการเงินในประเทศไทยอบ่างชัดเจนเพราะธุรกิจภาคการเงินทั่วโลกไม่ได้มีแค่ธนาคารพาณิชย์เท่านั้น ธุรกิจรับประกันภัยต่อถือเป็นธุรกิจที่น่าสนใจมากแม้แต่วอร์เรน บัฟเฟตยังมองเป็นธุรกิจที่น่าสนใจลงทุน หรือหุ้นตลาดหลักทรัพย์ที่มีกำไรค่อนข้างดีไม่ว่าภาวะตลาดจะขึ้นหรือลง ธุรกิจบลจ.ที่มีรายได้ค่าธรรมเนียมบริหารจัดการเสมอไม่ว่าตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลง เป็นต้น
“กองทุน KT-FINANCE จึงถือเป็นธีมการลงทุนที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัวจากนี้ไป การเลือกหุ้นเพื่อลงทุนจะมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น ซึ่งธีมการลงทุนในธุรกิจการเงินของโลกถือเป็นธีมหนึ่งที่น่าสนใจเช่นเดียวกัน” นายณสุกล่าว
ด้านนายสุทยุต เชื้อพานิช ผู้จัดการกองทุนฝ่ายตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับหุ้นกลุ่มที่เชื่อว่าจะกลับมาเเข็งเเกร่งในอนาคตอันใกล้นี้คือ หุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน การให้บริการทางการเงิน เช่น ประกันภัย ธนาคาร ตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น ทั้งนี้ เรามองว่าหลังวิกฤติเรื่องสถาบันการเงินเริ่มผ่อนคลายลงนั้น ส่งผลให้ต้นทุนของสถาบันการเงินลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิของภาคธนาคารมีเเนวโน้มฟื้นตัว และอัตราผลตอบเเทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นก็มีเเนวโน้มปรับตัวดีขี้นเช่นกัน นอกจากนี้เรามองว่าอัตราส่วนราคาต่อสินทรัพย์หรือ Price to BooK ของหุ้นประเภทดังกล่าว ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปเเล้ว ซึ่งมีเเนวโน้มว่ากำลังจะปรับตัวสูงขึ้นในอนาคตอีกด้วย
ทั้งนี้ กองทุนเปิดเคแทม เวิล์ด ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ฟันด์ (KT-FINANCE) ที่กำลังเสนอขายพีโอระหว่างวันที่ 13-27 ต.ค. 2552 นี้ ถือเป็นกองทุนกลุ่มอุตสาหกรรม (Sector Fund) ที่เน้นลงทุนในหุ้นในธุรกิจการเงินทั่วโลกดดยปัจจุบันกองทุนหลักคือ กองทุน Global Financial Services Fund นั้นมีสัดส่วนการลงทุนในสหรัฐประมาณ 41.8% อังกฤษ 18.3% และที่เหลือกระจายไปในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก โดยกองทุน KT-FINANCE จะลงทุนในสกุลเงินยูโรและไม่ได้มีการป้องกันความเสี่ยงในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนแต่ประการใด เพราะสัดส่วนการลงทุนในสหรัฐที่มีมากนั้นเป็นเพียงตัวบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐเท่านั้น แต่ในแง่ของรายได้บริษัทเหล่านี้มาจากทั่วโลก ปัจจุบันกองทุนมีสัดส่วนการลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐประมาณ 40% ยูโร 10% และปอนด์สเตอร์ลิง 10% อีก 40% ที่เหลือเป็นสกุลเงินท้องถิ่นตามแต่ละประเทศที่เข้าไปลงทุนซึ่งค่าเงินจะเป็น Natural Hedge ไปซึ่งช่วยลดความผันผวนในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนไปได้