บิ๊กสคิบ ยันเตรียมข้อมูลทุกด้านพร้อมนำเสนอหลังกองทุนนคัดเลือก FA เสร็จในวันที่ 2 ต.ค.นี้ คาด เคาะราคาขายหุ้นได้ต้นปีหน้า พร้อมชะลอแผนการขายเอ็นพีแอลออกไป แต่ไม่กระทบนโยบายกันสำรอง ยอมรับสินเชื่อปีนี้ต่ำกว่าเป้าคาดทำได้แค่ 8,000-15,000 ล้าน จากที่ตั้งไว้ 1.8 หมื่นล้าน
นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) (SCIB) เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินจะดำเนินการขายหุ้นของธนาคารที่ถือไว้ 47.58% ว่า ในด้านของราคาหุ้นนั้น น่าจะรู้ผลในช่วงต้นปีหน้า ภายหลังจากการคัดเลือกที่ปรึกษาทางการเงิน หรือ FA ในวันที่ 22 ตุลาคมนี้ ซึ่งในส่วนของธนาคารเองได้เตรียมความพร้อมของข้อมูลไว้แล้วทุกด้าน เพื่ออำนวยความสะดวกในการในการประเมินราคาของที่ปรึกษาทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อการลงทุนของธนาคาร รวมทั้งสินทรัพย์ของธนาคารอีกด้วย นอกจากนี้ ที่ปรึกษาทางการเงินยังต้องประเมินถึงคุณค่าของเครือข่ายสาขาและคุณค่าของธนาคาร
นอกจากนี้ ในส่วนของแผนงานต่างๆ ก็มีบางส่วนที่ต้องชะลอไว้ก่อน เพื่อรอแนวทางจากที่ปรึกษาทางการเงิน โดยเฉพาะแผนการขายหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จำนวน 1.3 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งออกเป็น 6 กอง จากยอดเอ็นพีแอล 2.3 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 8% ซึ่งการขายเอ็นพีแอลทุก 3,000 ล้านบาท จะช่วยลดเอ็นพีแอลลงได้ 1% และหากขายได้ทั้งหมด 1.3 หมื่นล้านบาท จะลด NPL ลงได้ถึง 4% อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการจำหน่ายเอ็นพีแอลอาจช้าลง แต่ธนาคารยังคงนโยบายการตั้งสำรองในลักษณะเดิม และจะตั้งสำรองอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อธนาคาร
นายชัยวัฒน์ กล่าวอีกว่า การที่ธนาคารเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ผู้ที่สนใจเข้ามาซื้อหุ้นสามารถดูข้อมูลในเบื้องต้นที่มีการเปิดเผยอยู่แล้ว ดังนั้น ในช่วงแรกผู้ที่สนใจลงทุนสามารถแจ้งกรอบการเสนอราคาโดยยังไม่มีราคาผูกพัน (Non Buying Bid) ขึ้นกับความพร้อมในการเข้ามาลงทุน เพราะเจ้าของหุ้นต้องการขายหุ้นในราคาที่ดี ขณะที่ผู้ซื้อต้องการซื้อในราคาที่เหมาะสม คงไม่สามารถระบุได้ว่าราคาที่ซื้อขายหุ้นควรจะอยู่ที่จุดใด นอกจากนี้ ยังรวมถึงการที่ผู้ซื้อจะต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (เทนเดอร์ ออฟเฟอร์) จากผู้ถือหุ้นรายย่อยด้วย
ส่วนกรณีที่หากบริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP เป็นผู้ชนะจะทำส่งผลให้ผู้ถือหุ้นต่างชาติเกิน 49% หรือไม่นั้นต้องไปตีความว่าผู้ซื้อเป็นคนไทยหรือต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกองทุนถือ หุ้น SCIB ไม่ถึง 49% แต่หากผู้ซื้อจะไปทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์เพิ่มขนาดไหน โดยส่วนตัวยังไม่ทราบ ต้องรอคัดเลือกจากที่ปรึกษาทางการเงินให้ได้ก่อน
“ตอนนี้คงต้องรอผลการจ้างที่ปรึกษาทางการเงินในวันนี้ 22 ต.ค.นี้ก่อน ซึ่งเขาบอกให้เตรียมความพร้อม ผมก็เตรียมข้อมูลไว้หมดแล้ว คิดว่า ต้นปีหน้าน่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะรู้ราคา FA ก็คงหาคนเข้ามาช่วยดูหลายๆข้อมูลต้องไม่ลืม ว่า ธนาคารมีข้อมูลทั้งในตลาดหลักทรัพย์ฯและสถาบันจัดอันดับต่างๆ ส่วนที่ว่าทางทุนธนชาตหรือ TCAP พร้อมจะเข้ามา ก็เป็นรายหนึ่ง แต่ผมว่าใครสนใจตอนนี้ก็คงพร้อมกันหมดแล้ว แต่พร้อมกี่รายต้องไปถามที่กองทุน ใครเสนอราคามาน่าสนใจก็คงตามนั้น แต่ผมไม่ทราบว่าใครเสนอมา ส่วนราคาที่ Book Value เมื่อกลางปีอยู่ที่ 19.30 บาท และก็ต้องมาปรับราคาให้เป็นมูลค่าปัจจุบันด้วย” นายชัยวัฒน์ กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานของธนาคารในปีนี้นั้น ยอมรับว่า สินเชื่อของธนาคารทั้งปีจะไม่เป็นไปตามที่ตั้งไว้ว่าจะปล่อยสินเชื่อได้ 18,000 ล้านบาท โดยคาดว่าธนาคารจะสามารถปล่อยสินเชื่อได้เพียง 8,000-15,000 ล้านบาท โดยธนาคารพร้อมที่จะสนับสนุนสินเชื่อในธุรกิจขนาดกลางและขนาย่อม (SME) อย่างเต็มที่ แต่ยังคงมีความน่าเป็นห่วง ซึ่งเกิดจากปัญหาในการใช้เงินของผู้ประกอบการที่ไม่เป็นระบบ
“ตอนนี้ สถานการณ์ของสินเชื่อเอสเอ็มอีแบงก์กำลังพลิกฟื้นขึ้นมา ตอนนี้ที่น่าเป็นห่วงคือปัญหาในการทำงานและใช้เงินอย่างไม่เป็นระบบ เช่น การใช้เงินของเถ้าแก่กับของบริษัทมีลักษณะปนกันอยู่ ซึ่งหากตัวเถ้าแก่ติดเครดิตบูโรก็จะทำให้บริษัทมีปัญหาเรื่องการชำระหนี้ไปด้วยแต่ธุรกิจ SME ที่มีระบบก็พอมีเราก็พร้อมสนับสนุนสินเชื่อ แต่ปกติเราเด่นเรื่องสินเชื่อรายย่อยมากกว่า” นายชัยวัฒน์ กล่าว
นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) (SCIB) เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินจะดำเนินการขายหุ้นของธนาคารที่ถือไว้ 47.58% ว่า ในด้านของราคาหุ้นนั้น น่าจะรู้ผลในช่วงต้นปีหน้า ภายหลังจากการคัดเลือกที่ปรึกษาทางการเงิน หรือ FA ในวันที่ 22 ตุลาคมนี้ ซึ่งในส่วนของธนาคารเองได้เตรียมความพร้อมของข้อมูลไว้แล้วทุกด้าน เพื่ออำนวยความสะดวกในการในการประเมินราคาของที่ปรึกษาทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อการลงทุนของธนาคาร รวมทั้งสินทรัพย์ของธนาคารอีกด้วย นอกจากนี้ ที่ปรึกษาทางการเงินยังต้องประเมินถึงคุณค่าของเครือข่ายสาขาและคุณค่าของธนาคาร
นอกจากนี้ ในส่วนของแผนงานต่างๆ ก็มีบางส่วนที่ต้องชะลอไว้ก่อน เพื่อรอแนวทางจากที่ปรึกษาทางการเงิน โดยเฉพาะแผนการขายหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จำนวน 1.3 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งออกเป็น 6 กอง จากยอดเอ็นพีแอล 2.3 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 8% ซึ่งการขายเอ็นพีแอลทุก 3,000 ล้านบาท จะช่วยลดเอ็นพีแอลลงได้ 1% และหากขายได้ทั้งหมด 1.3 หมื่นล้านบาท จะลด NPL ลงได้ถึง 4% อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการจำหน่ายเอ็นพีแอลอาจช้าลง แต่ธนาคารยังคงนโยบายการตั้งสำรองในลักษณะเดิม และจะตั้งสำรองอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อธนาคาร
นายชัยวัฒน์ กล่าวอีกว่า การที่ธนาคารเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ผู้ที่สนใจเข้ามาซื้อหุ้นสามารถดูข้อมูลในเบื้องต้นที่มีการเปิดเผยอยู่แล้ว ดังนั้น ในช่วงแรกผู้ที่สนใจลงทุนสามารถแจ้งกรอบการเสนอราคาโดยยังไม่มีราคาผูกพัน (Non Buying Bid) ขึ้นกับความพร้อมในการเข้ามาลงทุน เพราะเจ้าของหุ้นต้องการขายหุ้นในราคาที่ดี ขณะที่ผู้ซื้อต้องการซื้อในราคาที่เหมาะสม คงไม่สามารถระบุได้ว่าราคาที่ซื้อขายหุ้นควรจะอยู่ที่จุดใด นอกจากนี้ ยังรวมถึงการที่ผู้ซื้อจะต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (เทนเดอร์ ออฟเฟอร์) จากผู้ถือหุ้นรายย่อยด้วย
ส่วนกรณีที่หากบริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP เป็นผู้ชนะจะทำส่งผลให้ผู้ถือหุ้นต่างชาติเกิน 49% หรือไม่นั้นต้องไปตีความว่าผู้ซื้อเป็นคนไทยหรือต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกองทุนถือ หุ้น SCIB ไม่ถึง 49% แต่หากผู้ซื้อจะไปทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์เพิ่มขนาดไหน โดยส่วนตัวยังไม่ทราบ ต้องรอคัดเลือกจากที่ปรึกษาทางการเงินให้ได้ก่อน
“ตอนนี้คงต้องรอผลการจ้างที่ปรึกษาทางการเงินในวันนี้ 22 ต.ค.นี้ก่อน ซึ่งเขาบอกให้เตรียมความพร้อม ผมก็เตรียมข้อมูลไว้หมดแล้ว คิดว่า ต้นปีหน้าน่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะรู้ราคา FA ก็คงหาคนเข้ามาช่วยดูหลายๆข้อมูลต้องไม่ลืม ว่า ธนาคารมีข้อมูลทั้งในตลาดหลักทรัพย์ฯและสถาบันจัดอันดับต่างๆ ส่วนที่ว่าทางทุนธนชาตหรือ TCAP พร้อมจะเข้ามา ก็เป็นรายหนึ่ง แต่ผมว่าใครสนใจตอนนี้ก็คงพร้อมกันหมดแล้ว แต่พร้อมกี่รายต้องไปถามที่กองทุน ใครเสนอราคามาน่าสนใจก็คงตามนั้น แต่ผมไม่ทราบว่าใครเสนอมา ส่วนราคาที่ Book Value เมื่อกลางปีอยู่ที่ 19.30 บาท และก็ต้องมาปรับราคาให้เป็นมูลค่าปัจจุบันด้วย” นายชัยวัฒน์ กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานของธนาคารในปีนี้นั้น ยอมรับว่า สินเชื่อของธนาคารทั้งปีจะไม่เป็นไปตามที่ตั้งไว้ว่าจะปล่อยสินเชื่อได้ 18,000 ล้านบาท โดยคาดว่าธนาคารจะสามารถปล่อยสินเชื่อได้เพียง 8,000-15,000 ล้านบาท โดยธนาคารพร้อมที่จะสนับสนุนสินเชื่อในธุรกิจขนาดกลางและขนาย่อม (SME) อย่างเต็มที่ แต่ยังคงมีความน่าเป็นห่วง ซึ่งเกิดจากปัญหาในการใช้เงินของผู้ประกอบการที่ไม่เป็นระบบ
“ตอนนี้ สถานการณ์ของสินเชื่อเอสเอ็มอีแบงก์กำลังพลิกฟื้นขึ้นมา ตอนนี้ที่น่าเป็นห่วงคือปัญหาในการทำงานและใช้เงินอย่างไม่เป็นระบบ เช่น การใช้เงินของเถ้าแก่กับของบริษัทมีลักษณะปนกันอยู่ ซึ่งหากตัวเถ้าแก่ติดเครดิตบูโรก็จะทำให้บริษัทมีปัญหาเรื่องการชำระหนี้ไปด้วยแต่ธุรกิจ SME ที่มีระบบก็พอมีเราก็พร้อมสนับสนุนสินเชื่อ แต่ปกติเราเด่นเรื่องสินเชื่อรายย่อยมากกว่า” นายชัยวัฒน์ กล่าว