ASTVผู้จัดการรายวัน - สคิบชี้ขั้นตอนขายหุ้น ต้องรอให้กองทุน-ที่ปรึกษาทางการเงินคัดเลือกผู้สนใจก่อน จึงจะเข้าตรวจสอบทรัพยสิน ฟุ้งมีผู้สนใจมากกว่า 5 ราย แต่น่าจะผ่านการคัดเลือกแค่ 3 ราย คาดเห็นภาพชัดขึ้นช่วงปลายปี ยันไม่กระทบการดำเนินธุรกิจยังคงเป้าสินเชื่อโต 6% พร้อมจับมือเอไอเอออก SCIB Platinum Savings 21/7 เป็นประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ชำระเบี้ยประกันชีวิต 7 ปี ให้ความคุ้มครองชีวิตสูงถึง 210 % ของทุนประกันภัยนาน 21 ปี ตั้งเป้าเพิ่มเบี้ยเดือนละ 100 ล้าน
นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน)(SCIB)เปิดเผยถึงกรณีการขายหุ้นของธนาคารที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน(กองทุน)ถืออยู่จำนวน 47.58% ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)จะตรวจสอบหนังสือเห็นชอบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังส่งมา หลังจากนั้นจึงส่งกลับมาที่กองทุนเพื่อดำเนินการจัดตั้งที่ปรึกษาทางการเงิน คัดเลือกผู้ที่สนใจแล้วจึงเข้ามาหารือกับธนาคารในการตรวจสอบสินทรัพย์ต่อไป ซึ่งแต่ละขั้นตอนจะใช้เวลาประมาณ 4-6 สัปดาห์ หรือมากกว่านั้นหากมีผู้สนใจเข้าซื้อหุ้นของธนาคารหลายราย จึงยังไม่สามารถกำหนดได้ชัดเจนว่าสรุปผลได้เมื่อใด แต่คาดว่าปลายปีนี้น่าจะเห็นรายชื่อผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจากที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งไม่น่าจะเกิน 3 ราย เนื่องจากขั้นตอนดังกล่าวค่อนข้างยุ่งยากและใช้เวลามาก
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผู้ถือหุ้นใหม่จะสถาบันการเงินสัญชาติใด ควรจะมีคุณสมบัติที่เกื้อหนุนการดำเนินธุรกิจของธนาคารด้วย ไม่ว่าจะเป็นการมีองค์ความรู้ที่จะช่วยเสริมศักยภาพการแข่งขันในอนาคตให้กับธนาคารได้ รวมถึงเสริมความแข็งแกร่งด้านไอที และมีฐานลูกค้าที่จะเพิ่มปริมาณธุรกิจให้กับธนาคารด้วย โดยขณะนี้ราคาหุ้นตามมูลค่าทางบัญชีของธนาคารอยู่ในระดับ 19.30 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนหน้าเนื่องจากมีกำไรสะสมเพิ่มเข้ามาจากในช่วงครึ่งปีแรก
"ตอนนี้คงจะยังไม่ใช่หน้าที่ของธนาคารที่จะทำอะไรในขณะนี้ และธนาคารยังไม่เคยเจรจากับใคร ต้องรอให้เสร็จขั้นตอนจากทางคลังและกองทุนก่อน แล้วก็ไม่ทราบรายชื่อหรือจำนวนผู้ที่สนใจ แต่เท่าที่ฟังข่าวมีมากกว่า 5 ราย โดยขั้นตอนต่างๆก็จะเป็นแบบเดียวกับที่ขายหุ้นของธนาคารไทยธนาคาร แต่ช่วงเวลาขณะนี้ค่อนข้างดีกว่าจึงเชื่อจะมีผู้สนใจจำนวนรายมากกว่า อย่างไรก็ตาม ขณะนี้การดำเนินธุรกิจของธนาคารก็ยังคงเป็นไปตามปกติ ควบคู่ไปกับการพัฒนาองค์กรให้พร้อมรับมือกับการดำเนินธุรกิจในรูปแบบใหม่ๆ"
ส่วนเข้าถือหุ้นของกลุ่มทุนธนชาตนั้น ปัจจุบันกลุ่มดังกล่าวมีสัดส่วนการถือหุ้นรวมประมาณเกือบ 14% โดยกลุ่มเอ็มบีเค-TCAP ถือ 9% และกลุ่มนวาสโกเทียถืออยู่ 4.9%
สำหรับการปล่อยสินเชื่อของธนาคารปีนี้นั้น เชื่อจะยังคงเติบโตได้ตามเป้าหมายคือ 6% คิดเป็นวงเงินสุทธิ 18,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ธนาคารมีสินเชื่อคงค้างที่ระดับ 270,000 ล้านบาท โดยเชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะมียอดเบิกจ่ายสินเชื่อเพิ่ม ตามภาวะเศรษฐกิจที่ค่อยๆฟื้นตัวขึ้น รวมถึงธนาคารอยู่ระหว่างดำเนินการขายหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)จำนวน 7,000-10,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสรปุได้ในไตรมาส 4 และทำให้เอ็นพีแอลของธนาคารลดลงต่ำกว่า6% จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 8%
นอกจากนี้ ล่าสุดธนาคารได้ร่วมกับ บริษัท อเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนลแอสชัวรันส์ จำกัด (เอไอเอ ประเทศไทย) นำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตโครงการ SCIB Platinum Savings 21/7 เป็นประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ชำระเบี้ยประกันชีวิต 7 ปี ให้ความคุ้มครองชีวิตสูงถึง 210 % ของทุนประกันภัยนาน 21 ปี โดยผู้ถือกรมธรรม์จะได้รับผลประโยชน์เงินคืนรายงวดปีละ 2% ของทุนประกันภัย ตั้งแต่สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 2-14 และรับเงินคืนรายงวดสูงถึง 30% ของทุนประกันภัยตั้งแต่สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 15-21 แบบประกันชีวิตดังกล่าวเหมาะกับลูกค้าของธนาคารที่มองหาทางเลือกในการวางแผนทางการเงินอย่างมั่นคง นอกจากนี้ธนาคารยังได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย SCIB Platinum Savings 21/7 by SCIB heart มอบโชคลุ้นรับรางวัลทองคำแท่งและสร้อยคอทองคำ น้ำหนักรวม 40 บาท จำนวน 23 รางวัล มูลค่ากว่า 6 แสนบาท ซึ่งกิจกรรมส่งเสริมการขายนี้เป็นสิ่งที่ตอกย้ำถึงแผนในการขยายธุรกิจบริการประกันชีวิตผ่านธนาคาร รวมทั้งเป็นการเพิ่มฐานลูกค้าในธุรกิจแบงก์แอสชัวรันส์ของปีนี้ด้วย
ทั้งนี้ ธนาคารตั้งเป้าเบี้ยประกันในปีนี้ไว้ประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยในส่วนของ SCIB Platinum Savings 21/7 น่ามียอดเบี้ยประกันเข้ามาเดือนละไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทในช่วงที่เหลือของปีนี้
นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน)(SCIB)เปิดเผยถึงกรณีการขายหุ้นของธนาคารที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน(กองทุน)ถืออยู่จำนวน 47.58% ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)จะตรวจสอบหนังสือเห็นชอบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังส่งมา หลังจากนั้นจึงส่งกลับมาที่กองทุนเพื่อดำเนินการจัดตั้งที่ปรึกษาทางการเงิน คัดเลือกผู้ที่สนใจแล้วจึงเข้ามาหารือกับธนาคารในการตรวจสอบสินทรัพย์ต่อไป ซึ่งแต่ละขั้นตอนจะใช้เวลาประมาณ 4-6 สัปดาห์ หรือมากกว่านั้นหากมีผู้สนใจเข้าซื้อหุ้นของธนาคารหลายราย จึงยังไม่สามารถกำหนดได้ชัดเจนว่าสรุปผลได้เมื่อใด แต่คาดว่าปลายปีนี้น่าจะเห็นรายชื่อผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจากที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งไม่น่าจะเกิน 3 ราย เนื่องจากขั้นตอนดังกล่าวค่อนข้างยุ่งยากและใช้เวลามาก
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผู้ถือหุ้นใหม่จะสถาบันการเงินสัญชาติใด ควรจะมีคุณสมบัติที่เกื้อหนุนการดำเนินธุรกิจของธนาคารด้วย ไม่ว่าจะเป็นการมีองค์ความรู้ที่จะช่วยเสริมศักยภาพการแข่งขันในอนาคตให้กับธนาคารได้ รวมถึงเสริมความแข็งแกร่งด้านไอที และมีฐานลูกค้าที่จะเพิ่มปริมาณธุรกิจให้กับธนาคารด้วย โดยขณะนี้ราคาหุ้นตามมูลค่าทางบัญชีของธนาคารอยู่ในระดับ 19.30 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนหน้าเนื่องจากมีกำไรสะสมเพิ่มเข้ามาจากในช่วงครึ่งปีแรก
"ตอนนี้คงจะยังไม่ใช่หน้าที่ของธนาคารที่จะทำอะไรในขณะนี้ และธนาคารยังไม่เคยเจรจากับใคร ต้องรอให้เสร็จขั้นตอนจากทางคลังและกองทุนก่อน แล้วก็ไม่ทราบรายชื่อหรือจำนวนผู้ที่สนใจ แต่เท่าที่ฟังข่าวมีมากกว่า 5 ราย โดยขั้นตอนต่างๆก็จะเป็นแบบเดียวกับที่ขายหุ้นของธนาคารไทยธนาคาร แต่ช่วงเวลาขณะนี้ค่อนข้างดีกว่าจึงเชื่อจะมีผู้สนใจจำนวนรายมากกว่า อย่างไรก็ตาม ขณะนี้การดำเนินธุรกิจของธนาคารก็ยังคงเป็นไปตามปกติ ควบคู่ไปกับการพัฒนาองค์กรให้พร้อมรับมือกับการดำเนินธุรกิจในรูปแบบใหม่ๆ"
ส่วนเข้าถือหุ้นของกลุ่มทุนธนชาตนั้น ปัจจุบันกลุ่มดังกล่าวมีสัดส่วนการถือหุ้นรวมประมาณเกือบ 14% โดยกลุ่มเอ็มบีเค-TCAP ถือ 9% และกลุ่มนวาสโกเทียถืออยู่ 4.9%
สำหรับการปล่อยสินเชื่อของธนาคารปีนี้นั้น เชื่อจะยังคงเติบโตได้ตามเป้าหมายคือ 6% คิดเป็นวงเงินสุทธิ 18,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ธนาคารมีสินเชื่อคงค้างที่ระดับ 270,000 ล้านบาท โดยเชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะมียอดเบิกจ่ายสินเชื่อเพิ่ม ตามภาวะเศรษฐกิจที่ค่อยๆฟื้นตัวขึ้น รวมถึงธนาคารอยู่ระหว่างดำเนินการขายหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)จำนวน 7,000-10,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสรปุได้ในไตรมาส 4 และทำให้เอ็นพีแอลของธนาคารลดลงต่ำกว่า6% จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 8%
นอกจากนี้ ล่าสุดธนาคารได้ร่วมกับ บริษัท อเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนลแอสชัวรันส์ จำกัด (เอไอเอ ประเทศไทย) นำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตโครงการ SCIB Platinum Savings 21/7 เป็นประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ชำระเบี้ยประกันชีวิต 7 ปี ให้ความคุ้มครองชีวิตสูงถึง 210 % ของทุนประกันภัยนาน 21 ปี โดยผู้ถือกรมธรรม์จะได้รับผลประโยชน์เงินคืนรายงวดปีละ 2% ของทุนประกันภัย ตั้งแต่สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 2-14 และรับเงินคืนรายงวดสูงถึง 30% ของทุนประกันภัยตั้งแต่สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 15-21 แบบประกันชีวิตดังกล่าวเหมาะกับลูกค้าของธนาคารที่มองหาทางเลือกในการวางแผนทางการเงินอย่างมั่นคง นอกจากนี้ธนาคารยังได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย SCIB Platinum Savings 21/7 by SCIB heart มอบโชคลุ้นรับรางวัลทองคำแท่งและสร้อยคอทองคำ น้ำหนักรวม 40 บาท จำนวน 23 รางวัล มูลค่ากว่า 6 แสนบาท ซึ่งกิจกรรมส่งเสริมการขายนี้เป็นสิ่งที่ตอกย้ำถึงแผนในการขยายธุรกิจบริการประกันชีวิตผ่านธนาคาร รวมทั้งเป็นการเพิ่มฐานลูกค้าในธุรกิจแบงก์แอสชัวรันส์ของปีนี้ด้วย
ทั้งนี้ ธนาคารตั้งเป้าเบี้ยประกันในปีนี้ไว้ประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยในส่วนของ SCIB Platinum Savings 21/7 น่ามียอดเบี้ยประกันเข้ามาเดือนละไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทในช่วงที่เหลือของปีนี้